เราประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ รุนแรงขึ้น 60% และมีโอกาสที่ความตึงเครียดจะลดลง 40%
เหตุการณ์รุนแรงขึ้นหลังจากวันที่ 22 มิ.ย. ทรัมป์สั่งโจมตีโรงนิวเคลียร์อิหร่านซึ่งนำไปสู่ความกังวลการปิดช่องแคบฮอร์มุซที่จะทำให้ราคาน้ำมันขึ้น
รัสเซีย/จีนประณามและเรียกร้องยุติความรุนแรง แต่แนวโน้มการแทรกแซงทางการทหารมีจำกัด เนื่องจากไม่ใช่พันธมิตรโดยตรงและไม่ต้องการขัดแย้งกับสหรัฐฯ.
หากเทียบด้านการทหาร อิหร่านยังมีความสามารถน้อยกว่าอิสราเอลค่อนข้างมาก ซึ่งอาจจะนำมาสู่การเจรจายุติสงครามในระยะถัดไป
ค่าพรีเมียมความเสี่ยงของหุ้นกลุ่มอ่าวเปอร์เซีย อาจใช้เวลา 2 เดือนการกลับสู่ภาวะปกติ หากอิหร่านปิดช่องแคบเฮอร์มุซ หุ้นซาอุฯ และกาตาร์อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดในตลาด GCC.
หุ้นพลังงานและกลาโหมได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดอิสราเอล-อิหร่าน โดยอังกฤษ แคนาดา บราซิล และอินเดียได้ประโยชน์มากกว่า EMEA
ตามสถิติ S&P500 มักจะปรับตัวถึงจุดต่ำสุดภายใน 1 สัปดาห์หลังจากเกิดความขัดแย้งก่อนที่ตลาดมีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับเริ่มต้น ภายใน 4 สัปดาห์ รวมถึงในระยะยาว ราคาหุ้นสามารถกลับสู่จุดเดิมก่อนเกิดเหตุการณ์ได้ในทุกๆเหตุการณ์
ราคาน้ำมันและทองคำมักใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการขึ้นสู่จุดสูงสุดก่อนจะค่อยๆ ปรับสู่ภาวะปกติ ขณะที่ดัชนี DXY มักแข็งค่าในระยะสั้นแล้วอ่อนค่าลง และ Yield มักลดลงเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นในความขัดแย้งตะวันออกกลาง
บริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Operation Midnight Hammer คือ 1) Northrop Grumman (NOC) ผลิต B-2 Spirit และออกแบบระบบเครื่องบิน Stealth 2) Boeing (BA) ผู้ผลิต GBU-57 MOP ซึ่งเป็นอาวุธหลักในการปฏิบัติการ 3) Raytheon Technologies (RTX) ผลิตขีปนาวุธ Tomahawk