เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว (DM) เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ (EM) และเอเชียเริ่มชะลอตัวลงในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า เราคิดว่าไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป และยังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกจะยังขยายตัวต่อไปได้แทนที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในทันที ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน แต่ยังไม่พบการชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ การปรับลดสินค้าคงคลังอย่างเหมาะสมจะช่วยกระตุ้นให้ภาคการผลิตของประเทศไทยฟื้นตัวใน 4Q24
เริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เราเชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ธนาคารกลางอื่นๆ เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยตาม เราเชื่อว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% ในปี 2024 และอีก 1.5% ในปี 2025 ทั้งนี้หลังจากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรก เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และไทย ให้ผลตอบแทนระยะ 3 เดือน สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น (Asia Ex Japan) กลุ่มสินค้าจำเป็น และกลุ่มบริการทางการแพทย์ ให้ผลตอบแทนที่ดีหลังเฟดลดดอกเบี้ยครั้งแรกไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะถดถอยหรือไม่ก็ตาม
Yield Curve จะมีความชันเพิ่มขึ้น เรากังวลว่าการลดอัตราดอกเบี้ยที่มากเกินไปอาจส่งสัญญาณผิดพลาดว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นที่เศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ bull steepening ทั้งนี้หากไม่เกิดภาวะถดถอย สินทรัพย์เสี่ยงมักจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวกในระดับปานกลางธปท. จะลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. 2024 เราคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งในปีนี้ และอาจมีการปรับลดเพิ่มอีก 2 ครั้งในปี 2025 ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินบาทมีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นในระดับปานกลางในปี 2025 ซึ่งเป็นผลมาจากความแตกต่างในนโยบายการเงิน
นอกจากนี้ ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงจะช่วยสนับสนุนตลาดไทยในอีก 6 เดือนข้างหน้าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายด้วยคะแนนที่สูสี เราพบว่าตลาดไม่มีทิศทางที่ชัดเจนและมีความผันผวนสูง แนวโน้มจะถูกกำหนดหลังจากผลการเลือกตั้งออกมา หุ้นขนาดเล็กและหุ้นวัฏจักรให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น ทรัมป์มีผลในเชิงบวกต่อตลาดมากกว่าแฮร์ริส การกีดกันทางเทคโนโลยีและการปกป้องการค้ากับจีนที่เข้มงวดขึ้นอาจส่งผลลบต่อแนวโน้มการเติบโตและ Valuation ของจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อประเทศไทยและประเทศในเอเชีย
กำไรจะต้องเติบโตมากขึ้น หลังจากช่องว่างปรับลดลงใน 3Q24 อันเป็นผลมาจากการปรับเพิ่ม Valuation จากความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น เราเชื่อว่า Upside ของ SET Index จะได้รับแรงหนุนจากกำไรที่คาดว่าจะเติบโต 15-22% YoY ใน 3Q-4Q24 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลแทนที่จะเกิดจากการปรับ valuation เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ยังลงทุนต่อ การปรับตัวลงถึงจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการของบริษัทไทยควบคู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ และความคาดหวังว่าธนาคารกลางต่างๆ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จะช่วยชดเชยการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนได้ เมื่อปัจจัยบวกเหล่านี้เริ่มปรากฏให้เห็น เราคาดว่า SET Index จะปรับตัวขึ้นและแตะระดับ 1,500 จุดภายในสิ้น 4Q24 และ 1,550 จุดในปี 2025
โฟกัสที่การเติบโตในประเทศ เราชอบบริษัทที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและได้ประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวด้วยแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นเราจึงเลือก BDMS CPALL GPSC HANA และ LHHOTEL เป็นหุ้นเด่นใน 4Q24