สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 30 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม 2025
# แนะนำเข้าลงทุนทองคำ กองทุน UOBSG – H หลังราคาทองคำเข้าสู่ช่วงใกล้เบรกกรอบสะสม และได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อน, ความเสี่ยงทางการคลัง–ภูมิรัฐศาสตร์ และการสะสมทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลก
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
ตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อในระยะสั้นจากโมเมนตัมเชิงบวกหนุนตลาด จากความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดและปัจจัยลบต่างๆ คลี่คลาย ทั้งนี้ Upside อาจไม่มากเนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก และ Valuation เริ่มตึงตัว สำหรับการลงทุนระยะยาวเรายังคงชื่นชอบหุ้น EM เนื่องจาก Valuation ถูกและมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม
ตราสารหนี้
เรายังคงมุมมองว่าตราสารหนี้ที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี จะยังคงให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดีกว่าตราสารหนี้อายุยาวที่มีแนวโน้มถูกกดดันจาก Bond Yield ที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความกังวลของนักลงทุนต่อประเด็นหนี้สาธารณะและเสถียรภาพทางการคลัง
สินทรัพย์ทางเลือก
เราประเมินว่าราคาทองคำมีโอกาสใกล้หยุดพักฐานหลังแกว่งตัวออกข้างมานานกว่า 2 เดือน โดยแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยหนุนหลัก และความกังวลต่อหนี้สาธารณะและการขาดดุลการคลังเป็นอีกปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำในระยะข้างหน้า มองเป้าหมายที่ $3875
[Theme Play]
Gold: ราคาทองคำกำลังเข้าสู่ไตรมาส 3 ซึ่งตามสถิติเป็นฤดูกาลที่ราคาทองมักปรับขึ้น ขณะที่แนวโน้มดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ยังอ่อนค่าจากคาดการณ์ Fed ลดดอกเบี้ย หนุนราคาทอง ด้านปัจจัยพื้นฐาน หนี้สาธารณะทั่วโลกยังสูง เสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน ขณะที่กระแส De-dollarization เดินหน้าลดการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ และธนาคารกลางทั่วโลกยังมีแนวโน้มซื้อทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านเทคนิค ราคาทองอยู่ช่วงปลายของการพักฐานแบบ Triangle ราว 2 เดือน เตรียม Breakout ขาขึ้น หลังทำ higher low และ higher high สอดคล้องกับพฤติกรรมราคาช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
China A-Shares: จีนได้ปรับเศรษฐกิจมานานเพื่อเตรียมรองรับสงครามการค้า อีกทั้ง รัฐบาลได้หันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน โดย A-Shares ราคายัง Laggard เมื่อเทียบกับ H-Shares จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นโดยเฉพาะหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ล่าสุดยังคงเห็นถึงความพยายามในการใช้ทั้งนโยบายการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หนุน Sentiment หุ้นจีน ปัจจุบันดัชนี CSI 300 มี Valuation ไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ A-Shares มีความสัมพันธ์ต่อหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ต่ำ สามารถใช้ในการกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นโลกได้ ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าต่อ
Vietnam Equity: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 3 ปี หลังการเจรจาการค้าทั่วโลกเริ่มมีทิศทางดีขึ้น รวมถึงรัฐบาลเวียดนามแสดงท่าทีตั้งใจอย่างหนักในการเจรจากับสหรัฐฯ ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามเดินหน้านโยบายปฏิรูปเชิงลึกผ่าน Resolution 68 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยกระดับภาคเอกชนสู่แรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังมีความเสี่ยงเนื่องจากพึ่งพาการส่งออกเกือบ 100% ของ GDP ซึ่งหากสถานการณ์พลิกผัน เศรษฐกิจเวียดนามก็อาจได้รับผลกระทบหนักได้ โดยแนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นเวียดนามเมื่อย่อตัวเท่านั้น ไม่ไล่ราคาในช่วงนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ทรัมป์ยืดระยะเวลาเก็บภาษีตอบโต้ออกไป
[Event Play]
China Tech: แนะนำลงทุนหุ้นเทคจีน แม้เผชิญข่าวร้ายในระยะสั้นจากรัฐบาลท้องถิ่นบางเมืองเริ่มระงับโครงการ Trade in สำหรับผู้ซื้อรถยนต์ใหม่เพราะปัญหาที่มีผู้ใช้เงินจากโครงการนี้จำนวนมากจนส่งผลให้งบประมาณที่รัฐบาลกลางจัดสรรมาก่อนหน้านี้ไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) และกระทรวงการคลังจีนได้ให้คำมั่นว่า โครงการนี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นปี 2025 จึงคาดว่า เงินอุดหนุนรอบใหม่ในไตรมาสที่ 3 น่าจะเริ่มจ่ายในเดือน ก.ค. 2025 ได้ ด้านพื้นฐานมองว่า EPS Growth ในไตรมาสที่เหลือของปียังเติบโตในระดับสูง และโดดเด่นเมื่อเทียบกับ Mag7 ขณะที่ Valuation ยังถูก (Forward P/E 16.1 เท่า vs ค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 24 vs Mag 7 ที่ 28.7 เท่า)
TH Equity: หุ้นไทยกลับมารีบาวน์แถวบริเวณ 1,100 จุด หลังสงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่านคลี่คลาย แต่ยังคงถูกแรงกดดันจากการเมืองในประเทศต่อเสถียรภาพของรัฐบาลส่งผลต่อความผันผวนของตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ เรายังคงประเมินว่า Downside ของหุ้นไทยต่อจากนี้อาจไม่มากนัก แม้มีแรงกดดันทางการเมือง เนื่องจาก Valuation ในปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับถูกมาก และให้อัตราเงินปันผลค่อนข้างสูง อีกทั้ง โครงการจากภาครัฐฯ TISA และ Jump+ ที่เริ่มดำเนินการคาดว่าจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นไทยได้ อีกทั้ง ครึ่งปีหลังธปท. มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม รวมถึงการแต่งตั้งผู้ว่า ธปท.คนใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้าได้ ทั้งนี้ ติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างใกล้ชิด
Global Healthcare: เราประเมินว่าราคาหุ้นในกลุ่ม Global Healthcare ได้ปรับตัวลงมาสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทั้งจากประเด็นภาษียาและปัจจัยลบเฉพาะตัว ขณะเดียวกัน Valuation ในปัจจุบันอยู่ในโซน Deep Value โดยซื้อ-ขาย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมาก (-2 S.D.) และสัญญาณในเชิงเทคนิค สะท้อนโอกาสในการฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป นอกจากนี้ กลุ่ม Healthcare ยังมีลักษณะเป็นหุ้นแนว Defensive ที่สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดี จึงมีโอกาสได้รับความสนใจจากการสลับกลุ่มลงทุน (sector rotation) โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนี S&P 500 เริ่มเข้าสู่ระดับ Valuation ที่ตึงตัว และความกังวลหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ