สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 16 - 20 มิถุนายน 2568
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
ตลาดหุ้นมีแนวโน้มได้รับผลกระทบในระยะสั้น จากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แต่เราคาดว่าตลาดหุ้นสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าตามค่าสถิติในอดีต โดยปรับตัวลดลงเฉลี่ย 4.5% ทั้งนี้เรามองการปรับตัวลดลงของตลาดเป็นโอกาสในการหาจังหวะเข้าสะสมหุ้นโดยเฉพาะหุ้นที่ยังคงมี Valuation ไม่แพง เช่น จีน เวียดนาม และ อินเดียที่การเติบโตยังมีแนวโน้มดี
ตราสารหนี้
เน้นลงทุนในตรารสารหนี้อายุประมาณ 3-5 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนด้านการขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะที่อาจกดดันตราสารหนี้ระยะยาว โดยเราชื่นชอบตราสารหนี้โลกมากกว่าตราสารหนี้ไทย จาก Bond Yield ที่อยู่ในระดับสูงกว่า โดยตราสารหนี้ได้รับประโยชน์จากความกังวลตะวันออกกลางที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ Bond Yield มีแนวโน้มปรับตัวลดลง
สินทรัพย์ทางเลือก
ราคาทองคำได้รับแรงหนุนระยะสั้นจากฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยหากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น อาจหนุนราคาทองคำขึ้นทดสอบระดับ $3,550–$3,600
[Theme Play]
India Equity: ตลาดหุ้นอินเดียส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ Valuation ปรับตัวขึ้นมาในระดับสูงแต่เมื่อเทียบกับการคาดการณ์กำไรปีนี้ที่เติบโตโดดเด่น จึงทำให้ยังน่าสนใจ ขณะที่ภาคเศรษฐกิจเห็นสัญญาณฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ และมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ รวมถึงธนาคารกลางอินเดียที่ลดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 5.5% ซึ่งช่วยส่งเสริมสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ และกระตุ้นการบริโภค รวมถึงการเติบโตของสินเชื่อในระยะข้างหน้า นอกจากนี้ เศรษฐกิจอินเดียได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด โดยอินเดียใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ นับเป็นสัญญาณบวกต่อหุ้นอินเดียเช่นกัน ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างอินเดีย-ปากีสถานคาดอยู่ในวงจำกัด
China A-Shares: จีนได้ปรับเศรษฐกิจมานานเพื่อเตรียมรองรับสงครามการค้า อีกทั้งรัฐบาลได้หันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน โดย A-Shares ราคายัง Laggard เมื่อเทียบกับ H-Shares จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นโดยเฉพาะหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ล่าสุดยังคงเห็นถึงความพยายามในการใช้ทั้งนโยบายการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หนุน Sentiment หุ้นจีน ปัจจุบันดัชนี CSI 300 มี Valuation ไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ A-Shares มีความสัมพันธ์ต่อหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ต่ำ สามารถใช้ในการกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นโลกได้ ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าต่อ
Fixed Income: ผลตอบแทนของตราสารหนี้ (Bond yield) อยู่ในระดับสูงในรอบหลายปี และยังอาจไม่ได้ลดลงในระยะเวลาอันใกล้ จากผลกระทบของการขึ้นภาษีทั่วโลกที่ส่งผลให้เงินเฟ้อมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่ช่วยในการกระจายความเสี่ยงที่มีความจำเป็นในภาวะความผันผวนจากสงครามการค้าที่ยังมีอยู่ แม้ล่าสุดจะมีความคืบหน้าในการเจรจาการค้าก็ตาม โดยให้เน้นลงทุนในตรารสารหนี้อายุประมาณ 3-5 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนด้านการขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะที่อาจกดดันตราสารหนี้ระยะยาว
Vietnam Equity: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 3 ปี หลังการเจรจาการค้าทั่วโลกเริ่มมีทิศทางดีขึ้น รวมถึงรัฐบาลเวียดนามแสดงท่าทีตั้งใจอย่างหนักในการเจรจากับสหรัฐฯ ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามเดินหน้านโยบายปฏิรูปเชิงลึกผ่าน Resolution 68 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยกระดับภาคเอกชนสู่แรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังมีความเสี่ยงเนื่องจากพึ่งพาการส่งออกเกือบ 100% ของ GDP ซึ่งหากสถานการณ์พลิกผัน เศรษฐกิจเวียดนามก็อาจได้รับผลกระทบหนักได้ โดยแนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นเวียดนามเมื่อย่อตัวเท่านั้น ไม่ไล่ราคาในช่วงนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ทรัมป์ยืดระยะเวลาเก็บภาษีตอบโต้ออกไป
[Event Play]
China Tech: แนะนำลงทุนหุ้นเทคจีนในระยะสั้น หลังได้สัญญาณซื้อทางเทคนิค โดยราคาปรับตัวทะลุผ่านเส้น 50-Day SMA และราคาทำลักษณะ Falling Wedge ส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น ขณะที่ Fund Flow จากจีนแผ่นดินใหญ่ยังไหลเข้าฮ่องกงต่อเนื่อง หนุนจากเงินออมระดับสูงและดอกเบี้ยต่ำ ด้านปัจจัยพื้นฐาน EPS ไตรมาส 1 ดีกว่าคาด และคาดว่า EPS Growth ในไตรมาสที่เหลือของปียังเติบโตในระดับสูง และโดดเด่นเมื่อเทียบกับ Mag7 ขณะที่ Valuation ยังถูก (Forward P/E 16.1 เท่า vs ค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 24 vs Mag 7 ที่ 28.7 เท่า) จึงเป็นจังหวะเหมาะสมในการเข้าลงทุนรอบใหม่
TH Equity: หุ้นไทยโดนแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศและความกังวลประเด็นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลงมาใกล้ ๆ บริเวณ 1,100 จุด อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าหุ้นไทย Downside ต่อจากนี้ค่อนข้างจำกัด จากแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นตลาดทุนของภาครัฐ ผ่านแรงซื้อของกองทุน ThaiESG Extra และมาตรการอื่นๆ อย่าง Jump+ และ TISA ที่จะเริ่มดำเนินการภายในเดือนมิ.ย. ซึ่งสามารถช่วยฟื้นความเชื่อมั่น และจำกัด downside ของดัชนี นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังถูกเมื่อเทียบกับอดีตและภูมิภาค ทำให้หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ ณ ราคานี้ อีกทั้ง ธปท. มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า
Global Healthcare: เราประเมินว่าราคาหุ้นในกลุ่ม Global Healthcare ได้ปรับตัวลงมาสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทั้งจากประเด็นภาษียาและปัจจัยลบเฉพาะตัว ขณะเดียวกัน Valuation ในปัจจุบันอยู่ในโซน Deep Value โดยซื้อ-ขาย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมาก (-2 S.D.) และสัญญาณในเชิงเทคนิค สะท้อนโอกาสในการฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป นอกจากนี้ กลุ่ม Healthcare ยังมีลักษณะเป็นหุ้นแนว Defensive ที่สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดี จึงมีโอกาสได้รับความสนใจจากการสลับกลุ่มลงทุน (sector rotation) โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนี S&P 500 เริ่มเข้าสู่ระดับ Valuation ที่ตึงตัว และความกังวลหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ