สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 23 - 27 มิถุนายน 2025
# แนะนำขายทำกำไร ตราสารหนี้โลก กองทุน UGIS-N ที่มีแนะนำเข้าลงทุนครั้งแรกวันที่ 28 พ.ย. 2024 หลังการประชุม Fed มีมุมมองยังคงลดดอกเบี้ยได้ลำบาก และมีมุมมองว่าเงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้น ในขณะที่ ECB เริ่มส่งสัญญาณเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ Bond Yield มีความเสี่ยงในการเร่งตัวเพิ่มขึ้น จึงแนะนำนักลงทุนขายทำกำไรในส่วนของ Satellite Port
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
ตลาดหุ้นมีแนวโน้มอยู่ในช่วงปรับฐานจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และอิหร่านที่ยังคงดำเนินอยู่ กรณีฐาน (Base Case) เรายังคงคาดหวังไม่ขยายตัวกลายเป็นความขัดแย้งที่มีหลายประเทศเข้าร่วมทั้งนี้เรามองการปรับตัวลดลงของตลาดเป็นโอกาสในการหาจังหวะเข้าสะสมหุ้นโดยเฉพาะหุ้นที่ยังคงมี Valuation ไม่แพง เช่น จีน เวียดนาม และ อินเดียที่การเติบโตยังมีแนวโน้มดี
ตราสารหนี้
การประชุม FOMC แสดงถึงความไม่มั่นใจของคณะกรรมการในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย มีโอกาสส่งผลให้ Bond Yield ของสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มขึ้น เรายังคงมุมมองว่าตราสารหนี้ที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี จะยังคงให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดีกว่าตราสารหนี้อายุยาวที่มีแนวโน้มถูกกดดันจาก Bond Yield ที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น
สินทรัพย์ทางเลือก
ราคาทองคำได้รับแรงหนุนระยะสั้นจากฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยหากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น อาจหนุนราคาทองคำขึ้นทดสอบระดับ $3,550–$3,600
[Theme Play]
India Equity: ตลาดหุ้นอินเดียส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ Valuation ปรับตัวขึ้นมาในระดับสูงแต่เมื่อเทียบกับการคาดการณ์กำไรปีนี้ที่เติบโตโดดเด่น จึงทำให้ยังน่าสนใจ ขณะที่ภาคเศรษฐกิจเห็นสัญญาณฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ และมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ รวมถึงธนาคารกลางอินเดียที่ลดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 5.5% ซึ่งช่วยส่งเสริมสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ และกระตุ้นการบริโภค รวมถึงการเติบโตของสินเชื่อในระยะข้างหน้า นอกจากนี้ เศรษฐกิจอินเดียได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด โดยอินเดียใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ นับเป็นสัญญาณบวกต่อหุ้นอินเดียเช่นกัน ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างอินเดีย-ปากีสถานคาดอยู่ในวงจำกัด
China A-Shares: จีนได้ปรับเศรษฐกิจมานานเพื่อเตรียมรองรับสงครามการค้า อีกทั้ง รัฐบาลได้หันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน โดย A-Shares ราคายัง Laggard เมื่อเทียบกับ H-Shares จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นโดยเฉพาะหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ล่าสุดยังคงเห็นถึงความพยายามในการใช้ทั้งนโยบายการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หนุน Sentiment หุ้นจีน ปัจจุบันดัชนี CSI 300 มี Valuation ไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ A-Shares มีความสัมพันธ์ต่อหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ต่ำ สามารถใช้ในการกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นโลกได้ ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าต่อ
Vietnam Equity: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 3 ปี หลังการเจรจาการค้าทั่วโลกเริ่มมีทิศทางดีขึ้น รวมถึงรัฐบาลเวียดนามแสดงท่าทีตั้งใจอย่างหนักในการเจรจากับสหรัฐฯ ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามเดินหน้านโยบายปฏิรูปเชิงลึกผ่าน Resolution 68 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยกระดับภาคเอกชนสู่แรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังมีความเสี่ยงเนื่องจากพึ่งพาการส่งออกเกือบ 100% ของ GDP ซึ่งหากสถานการณ์พลิกผัน เศรษฐกิจเวียดนามก็อาจได้รับผลกระทบหนักได้ โดยแนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นเวียดนามเมื่อย่อตัวเท่านั้น ไม่ไล่ราคาในช่วงนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ทรัมป์ยืดระยะเวลาเก็บภาษีตอบโต้ออกไป
[Event Play]
China Tech: แนะนำลงทุนหุ้นเทคจีน แม้เผชิญข่าวร้ายในระยะสั้นจากรัฐบาลท้องถิ่นบางเมืองเริ่มระงับโครงการ Trade in สำหรับผู้ซื้อรถยนต์ใหม่เพราะปัญหาที่มีผู้ใช้เงินจากโครงการนี้จำนวนมากจนส่งผลให้งบประมาณที่รัฐบาลกลางจัดสรรมาก่อนหน้านี้ไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) และกระทรวงการคลังจีนได้ให้คำมั่นว่า โครงการนี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นปี 2025 จึงคาดว่า เงินอุดหนุนรอบใหม่ในไตรมาสที่ 3 น่าจะเริ่มจ่ายในเดือน ก.ค. 2025 ได้ ด้านพื้นฐานมองว่า EPS Growth ในไตรมาสที่เหลือของปียังเติบโตในระดับสูง และโดดเด่นเมื่อเทียบกับ Mag7 ขณะที่ Valuation ยังถูก (Forward P/E 16.1 เท่า vs ค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 24 vs Mag 7 ที่ 28.7 เท่า)
TH Equity: หุ้นไทยโดนแรงกดดันหลักจากปัจจัยการเมืองในประเทศ ต่อเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของรัฐบาล ส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลงหลุดระดับ 1,100 จุด และทำจุดต่ำสุดใหม่ เราประเมินว่าแรงกดดันทางการเมืองจะเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นไทยต่อในระยะสั้น จนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในแง่ของเสถียรภาพของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่า Downside ของหุ้นไทยต่อจากนี้อาจไม่มากนัก แม้มีแรงกดดันทางการเมือง เนื่องจาก Valuation ในปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับถูกมาก และให้เงินปันผลค่อนข้างสูง อีกทั้ง โครงการจากภาครัฐฯ TISA ที่จะเริ่มดำเนินการภายในเดือนมิ.ย. คาดว่าจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นไทยได้ อีกทั้ง ธปท. มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมรวมถึงการแต่งตั้งผู้ว่า ธปท.คนใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้าได้ ทั้งนี้ ติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างใกล้ชิด
Global Healthcare: เราประเมินว่าราคาหุ้นในกลุ่ม Global Healthcare ได้ปรับตัวลงมาสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทั้งจากประเด็นภาษียาและปัจจัยลบเฉพาะตัว ขณะเดียวกัน Valuation ในปัจจุบันอยู่ในโซน Deep Value โดยซื้อ-ขาย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมาก (-2 S.D.) และสัญญาณในเชิงเทคนิค สะท้อนโอกาสในการฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป นอกจากนี้ กลุ่ม Healthcare ยังมีลักษณะเป็นหุ้นแนว Defensive ที่สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดี จึงมีโอกาสได้รับความสนใจจากการสลับกลุ่มลงทุน (sector rotation) โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนี S&P 500 เริ่มเข้าสู่ระดับ Valuation ที่ตึงตัว และความกังวลหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ