สรุปเงินเฟ้อสหรัฐขึ้น แต่รายได้ชะลอลง สงครามการค้าสหรัฐ Dirty 15 และผลกระทบต่อไทย การเปลี่ยนทิศของมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก: สหรัฐเข้มงวด จีนผ่อนคลาย
เงินเฟ้อ Core PCE ปรับขึ้น แต่รายได้เริ่มชะลอลง บ่งชี้ mild stagflation ดัชนีราคา Core PCE เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อน เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบหนึ่งปีและสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเทียบรายปีอยู่ที่ 2.8% สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ Fed อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แท้จริง (หักเงินเฟ้อ) เติบโตเพียง 0.1% ในเดือน ก.พ. ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% เราวิเคราะห์ว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูง (mild stagflation) กำลังเด่นชัดขึ้นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เนื่องจากเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้น ขณะที่การเติบโตชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อพิจารณาร่วมกับการที่ Fed คาดการณ์การเติบโตที่ช้าลงและเงินเฟ้อที่เร็วขึ้น บวกกับนโยบายการค้าเชิงรุกของทรัมป์ที่กำลังจะมาถึง ทำให้ Fed ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ระหว่างการรักษาอัตราดอกเบี้ยให้สูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ กับการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ทรุดตัวลงอย่างรุนแรงในเดือน มี.ค. โดยดัชนีของมหาวิทยาลัยมิชิแกนลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2022 สอดคล้องกับผลสำรวจของ Conference Board ที่ชี้ว่าดัชนีชี้นำตกลงต่ำกว่าเกณฑ์เตือนภาวะถดถอย ขณะที่ความคาดหวังเงินเฟ้อในปีหน้าพุ่งสูงขึ้นถึง 5% และคาดการณ์เงินเฟ้อใน 5 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 3.9% เรามองว่า เป็นไปได้ว่าผู้บริโภคจะลดการใช้จ่ายและเพิ่มการออม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวรุนแรงมากขึ้นในไตรมาสที่เหลือของปี 2025
สงครามการค้าสหรัฐฯ Dirty 15 และผลกระทบต่อไทย ไทยเป็นหนึ่งใน 15 ประเทศเป้าหมายของนโยบายภาษี "Reciprocal Tariff" ที่ทรัมป์จะประกาศในวันที่ 2 เม.ษ. 2025 ผ่านรายชื่อ 15 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ (Dirty 15) โดยเรามองว่า หากสหรัฐเก็บภาษีกับสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐ อาจทำให้ภาษีขึ้นประมาณ 6% (ซึ่งจะทำให้ GDP ชะลอลงกว่า 0.5%)
แต่หากคำนวณอย่างกว้างตามการวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ไทยอาจถูกเก็บภาษีสูงถึง 15-18% จากความแตกต่างของอัตราภาษีศุลกากร (ไทย 6%), มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (3%) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (7%) ซึ่งจะทำให้ GDP ขยายตัวชะลอลงกว่า 1-1.5% จากกรณีฐานที่ 2.5% ทำให้ GDP ไทยอาจขยายตัวเหลือ 1% ได้ แต่ ธปท. อาจลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด
การเปลี่ยนทิศของมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก: สหรัฐเข้มงวด จีนผ่อนคลาย โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายเศรษฐกิจของมหาอำนาจโลก โดยสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ กำลังดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้นผ่าน "วันปลดปล่อย" ที่จะประกาศในวันที่ 2 เม.ย. 2568 มีการเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าใหม่จากทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่ม "Dirty 15" ที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาษี 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์ ความไม่แน่นอนนี้ทำให้เศรษฐกิจอเมริกันบางส่วนชะงักงัน ดัชนีที่วัดความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ ซึ่ง Deutsche Bank ประเมินว่าอาจทำให้ GDP ของสหรัฐฯ ลดลงประมาณ 0.75% (p.p.) ในช่วงปีหน้า ขณะที่ S&P Global Ratings ประเมินความเสี่ยงของการถดถอยที่ 25% ซึ่งใกล้กับระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ
ในทางตรงกันข้าม จีนกำลังแสดงท่าทีเปิดรับการค้าและการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังพยายามใช้ประโยชน์จากกระแสตอบโต้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมจีนในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา สีได้พบกับผู้นำธุรกิจระดับโลกกว่า 40 คน และเรียกร้องให้พวกเขาต่อต้านการปกป้องทางการค้า และให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงการเข้าถึงตลาดและแก้ไขความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางการลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าสามทศวรรษ ปรากฏการณ์นี้กำลังนำไปสู่การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องปรับตัวให้ทันกับภูมิทัศน์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว