คาดตลาดกลับมาแกว่งลง หลังตลาดรีบาวด์จากการทดสอบแนวรับ 1160-1155 ไปหลายครั้งแล้วและการขึ้นยังไม่สามารถผ่าน 1180 ได้ โดยที่ระดับ 1160-1155 หากลงหลุดต่ำกว่าจะมีแนวรับหลักถัดไปที่ 1145 การรีบาวด์ยังคงมีแนวต้านที่เดิม 1175/1180 คาดตลาดเริ่มซึมลงก่อนวันหยุดยาว และข่าวศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯ มีคำสั่งคืนสถานะมาตรการภาษีของทรัมป์ที่เคยถูกศาลการค้าระงับจะกลับมากดดัน
แกว่งลง
ประเด็นสำคัญ
• Reuters รายงานว่า เมื่อวาน 29 พ.ค. ศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯ มีคำสั่งคืนสถานะมาตรการภาษีของทรัมป์ที่เคยถูกศาลการค้าระงับ โดยไม่ระบุเหตุผลชัดเจน พร้อมกำหนดให้คู่ความยื่นคำชี้แจงภายใน 5 และ 9 มิ.ย. ทำให้ช่วงนี้สหรัฐยังสามารถกลับมาเก็บภาษีได้กดดันตลาดหุ้น
• กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงาน 1Q68 GDP ครั้งที่สองหดตัว 0.2%QoQ ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้และประมาณการครั้งแรกที่หดตัว 0.3%QoQ เทียบกับ 4Q67 ที่ขยายตัว 2.4%QoQ
• ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ PCE สหรัฐคืนนี้ เป็นตัวเลขที่เฟดให้ความสนใจในการติดตามเงินเฟ้อ ตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 2.2% จากครั้งก่อน 2.3%
• การปรับน้ำหนักดัชนี MSCI จะมีผล ณ ราคาปิดในวันนี้ โดย MSCI Global Standard Index ไม่มีหุ้นเข้า แต่มีหุ้นออก 3 หุ้น (BEM, CRC และ KTC) ส่วน MSCI Global Small Cap Index มีหุ้นเข้า 2 หุ้น (AWC และ BEM) และมีหุ้นออก 8 หุ้น (AURA, BPP, DOHOME, GUNKUL, JAS, JMART, M และ PRM)
• สศค. แถลงภาวะ ศก. การคลัง เม.ย. 2568 ยังคงได้รับแรงสนุนจากการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และการบริโภคภาคเอกชน แต่การท่องเที่ยวจากต่างชาติชะลอตัวต่อเนื่อง ส่วนเสถียรภาพ ศก. ยังอยู่ในเกณฑ์ดีจากอัตราเงินเฟ้อคงอยู่ในกรอบและสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังคงอยู่ในกรอบที่ 64.4%
• OPEC+ จะมีการประชุมเพื่อหารือการเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบใน ก.ค. ในวันที่ 31 พ.ค. นี้ โดยในช่วงก่อน 8 ประเทศสมาชิกได้ส่งสัญญาณจะเร่งเพิ่มการผลิตเป็น 3 เท่าที่ +4.11 แสนบาร์เรล/วัน กดดันราคาน้ำมันดิบปรับลง
•
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสพักตัว รอปัจจัยใหม่หลังประกาศผลประกอบการ 1Q68 แล้ว และแนวโน้มช่วง 2H68 มีโอกาสชะลอตัวจากผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ทำให้เกิดแรงขาย ส่วนการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ จะไม่เป็นรูปแบบทวิภาคี แต่สหรัฐฯ จะประกาศฝ่ายเดียวในอีก 2-3 สัปดาห์ ทำให้กลับมามีความไม่แน่นอนอีกครั้ง รวมถึงการเคลื่อนไหวของขั้วการเมืองก่อนสภาพิจารณางบฯ ปี 2569 หากดัชนีปรับลงหรือพักตัวมาที่ 1155/1120-1100 เรามองเป็นโอกาสเข้าซื้อสะสมสำหรับลงทุนระยะยาว ประเมินสถานการณ์สงครามการค้าโลกในแง่ของอัตราภาษีที่ระดับสูงสุดมีโอกาสผ่านไปแล้ว แต่ยังเสี่ยงจากระดับอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับสูงกว่าคู่แข่งการค้าหลัก ติดตาม MSCI Rebalance ในสัปดาห์นี้ กลยุทธ์ลงทุนคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสแกว่งลงเพื่อรอปัจจัยใหม่ และการเจรจาภาษีสหรัฐฯ อาจมีผลกระทบต่อแนวโน้มงบ 2H68 ขณะที่การเมืองเกิดความไม่แน่นอนอีกครั้งในช่วงก่อนพิจารณางบฯ ปี 2569 กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีม หลักและ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earning Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ เลือก ADVANC TRUE CPALL BTG CPF
2. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ พบหุ้นน่าสนใจ SET50 : ADVANC BDMS CPALL PTT และ SET100 : BCH BTG AP
3. หุ้น SET50 ที่มี SETESG Rating A ขึ้นไป พร้อมคาดให้ Div. Yield ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป อีกทั้งเราแนะนำ Outperform แนะนำ PTT KTB BBL HMPRO
4. Trading Idea : นักลงทุนที่ไม่ชอบรับความเสี่ยงแต่มองเห็นโอกาสเก็งกำไรหากตลาดปรับตัวลง แนะนำหุ้นตั้งรับซึ่งมี Beta < 1 และรายได้สามารถต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจได้ เนื่องจากมีความสามารถในการกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนได้ (High Pricing Power) ทำให้กำไรยังมั่นคงและมีแนวโน้มเติบโตได้ ได้แก่ ADVANC TRUE BTG BCH LHSC
Daily top picks
BCH: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากการเป็นหุ้น Defensive และแนวโน้มรายได้ในเดือนเม.ย.-พ.ค.ของ BCH เติบโต YoY และ QoQ ถือว่าดี เพราะปกติแล้วไตรมาสที่ 2 จะเป็นโลว์ซีซัน คงมุมมองเชิงบวกว่ากำไรปกติของ BCH จะฟื้นตัวกลับมาเติบโต 15% ในปี 2568 เป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์
DIF: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า แนวโน้มใน 2Q68 คาดว่ากำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง คาดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีสูงถึง 11% ในปี 2568 และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกสองครั้งใน 2H68 จะเป็นปัจจัยกระตุ้นได้ ประเมินการลดดอกเบี้ยครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย.
The SET is expected to fall after rebounding from support of 1160-1155, but was unable to break through 1180. If the index falls below support, the next support will be at 1145, while resistance is at 1175-1180. The SET is expected to move down before the four-day weekend, while a US federal court granted an appeal to temporarily suspend the earlier tariff block by the International Trade Court.
Today’s highlights
• Reuters reports that on May 29 the US Federal Appeals Court reinstated Trump's tariff measures that were had been suspended by the International Trade Court, without specifying clear reasons. The court has set deadlines for both parties to submit their arguments by June 5 and 9, allowing the US to resume collecting tariffs in this period, which is pressuring stock markets.
• The US Department of Commerce reported 1Q25 GDP second estimate with a contraction of 0.2% QoQ, better than market expectations and the first estimate of 0.3% QoQ contraction, compared to 4Q24 which expanded 2.4% QoQ.
• Watch for tonight's US PCE inflation figures, which the Fed closely monitors for inflation tracking. The market expects it to be at 2.2%, down from the previous 2.3%.
• MSCI index rebalancing takes effect at today's closing price. The MSCI Global Standard Index has added no stocks, but has removed three (BEM, CRC, and KTC); the MSCI Global Small Cap Index is adding two stocks (AWC and BEM) and removed eight (AURA, BPP, DOHOME, GUNKUL, JAS, JMART, M, and PRM).
• The NESDC said Thailand's economy and fiscal standing for April 2025 continue to be supported by the expansion of exports for the 10th month and by private consumption, though foreign tourism continues to slow. Economic stability remains good with inflation staying within target range and public debt-to-GDP ratio maintaining at 64.4%.
• OPEC+ will hold a meeting on May 31 to discuss increasing crude oil production in July. Previously, 8 member countries signaled they would accelerate production increases three times to 411,000 barrels/day, pressuring crude oil prices downward.
Strategy today
In the short term the SET is expected to rest as it waits for a new catalyst after 1Q25 earnings were released, while 2H25 earnings are expected to slow down, impacted by US tariffs, bringing selling. Trade negotiations between Thailand and US will not be bilateral, and US will announce a one-sided tariff rate within 2-3 weeks, causing uncertainty. The political scene is also iffy, with some political movement before consideration of the FY2026 budget by the parliament. If the index falls to supports at 1170 or 1155/1120-1100, we see this as an opportunity to accumulate for long-term investors. We do believe the trade war has passed its peak in terms of tariff rate. However, there is still a risk that Thailand may face a higher rate than main trade competitors. Follow the MSCI rebalance this week. Our investment strategy remains "Selective Buy".
Trading today
The SET is expected to swing down as it waits for a new catalyst. Negotiations with the US may affect 2H25 earnings, and there is the possibility of domestic political uncertainty before the FY2026 budget consideration. Our investment strategy is for "selective buy" in three main themes and one trading theme with specific positive factors:
1. Earnings plays with 2Q25 profit expected to grow strongly, and core profit growth both YoY and QoQ – ADVANC, TRUE, CPALL, BTG and CPF.
2. Stocks expected to be targets of ThaiESGX: 1) 2025 profit expected to grow,
2) strong financial position and 3) steady dividends - on SET50 are ADVANC, BDMS, CPALL and PTT and on SET100 are BCH, BTG and AP.
3. SET50 stocks with SETESG Rating higher than A, dividend yield of higher than 5% expected and on which we recommend “Outperform” – PTT, KTB, BBL and HMPRO.
4. Trading idea: For investors who are risk-averse but see an opportunity for speculation if the market falls, we suggest defensive stocks with beta <1 and revenue that is able to withstand economic volatility, are price-setters and able pass on costs (high pricing power), keeping profit stable and growth on track – ADVANC, TRUE, BTG, BCH and LHSC.
Daily top picks
BCH: A defensive stock, BCH’s revenue is growing YoY and QoQ in Apr-May, although 2Q is usually low season. We maintain positive on the company’s core profit, expecting 15% grow th in 2025, the highest in the Healthcare sector.
DIF: Price has a short-term catalyst as it is immune to the trade war. 2Q25 core profit is expected to grow YoY and QoQ on lower interest expense, with dividend yield in 2025 expected to be a high 11%. Two more policy rate cuts in 2H25 are expected to be a catalyst, with next rate cut expected in June.
Download PDF Click Daily250530_E.pdf
