INVESTMENT THESIS:
403 บริษัทในดัชนี S&P500 (คิดเป็น 81% ของบริษัททั้งหมดในดัชนี) เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 25 เป็นที่เรียบร้อย โดยภาพรวมงบกำไรดีกว่าตลาดคาด ส่วนรายได้ In line
ภาพรวมรายได้เริ่มเติบโตชะลอตัวลง YoY และหดตัว QoQ เช่นเดียวกันกับกำไรที่ QoQ เริ่มเห็นการเติบโตหดตัวลง ส่วน YoY ออกมาในทิศทางผสม
Outperform Sector
1.กลุ่ม Health care ที่งบดีกว่าคาดและเติบโตนำโดยกลุ่ม Pharmaceuticals ที่อุปสงค์ยา GLP-1 และ Oncology ยังเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น เช่น LLY ด้านกลุ่ม Biotechnology โตดีเช่นเดียวกันโดยมีกำไรเพิ่มขึ้น 71% หนุนจากคำสั่งซื้อเครื่องมือแพทย์ที่โตดี
2.กลุ่ม Consumer Services ที่งบดีกว่าคาดและเติบโตหนุนจากการฟื้นตัวของ Ads เป็นหลักโดยเฉพาะในกลุ่ม Media Service เช่น META และ GOOGL รวมถึงกลุ่ม Entertainment ที่มีแรงหนุนจากงบ NFLX ที่โตดีจาก Subscription ที่เพิ่มขึ้น
3.กลุ่ม Utilities ที่งบดีกว่าคาดและเติบโตหลังการผลิตไฟฟ้าโดยรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งมีปัจจัยหนุนมาจาความต้องการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล เพื่อรองรับ Generative AI ประกอบกับการย้ายฐานการผลิตกลับมาในประเทศ นอกจากนี้กลุ่มพลังงานสะอาดมีภาพการฟื้นตัวหลังมีได้รับเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นและ Energy Storage โตดี
Underperform Sector
1.กลุ่ม Energy หลังรายได้และกำไรหดตัวลงตามราคาน้ำดิบที่ปรับตัวลงแรง รวมถึงราคาก๊าซที่อยู่ในระดับต่ำ
2.กลุ่ม Materials ที่ภาพการฟื้นตัวยังไม่สม่ำเสมอ หลังอุปสงค์ในกลุ่มเคมีภัณฑ์และเหล็กมีแรงกดดันจากเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างจีนที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า
3.กลุ่ม Industrial ที่การฟื้นตัวยังไม่สม่ำเสมอกดดันจากเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกดดันราคาค่าใช้จ่ายของบริษัทและอุปสงค์ของลูกค้าที่ยังชะลอการใช้จ่าย
มุมมองของ InnovestX
ในระยะสั้น เรามองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯมี Sentiment ที่ดีขึ้นจากท่าทีการเจรจาระหว่างประเทศสหรัฐฯ กับประเทศอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดมีสภาวะ Risk-off ช่วงสั้น ขณะที่ระยะกลาง-ยาว การลงทุนในตลาดยังมีความเสี่ยงจาก Systematic Risk ที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ เช่น Tariff สงครามการค้า
เราจึงขอแบ่งกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็น 2 ทาง โดย
1.หากว่าภาพสงครามทางการค้าคลี่คลาย เรามองว่าสามารถลงทุนและเก็งกำไรในหุ้นบางกลุ่มได้ โดย
1.กลุ่มธนาคารและการเงิน (BAC GS) โดยกลุ่มนี้จะสามารถ Outperform และปรับตัวขึ้นได้ดีตามทิศทางเศรษฐกิจและตลาดที่ดีขึ้นในระยะสั้น
2.กลุ่ม Retailer (WMT COST) ที่ในช่วงที่มี Tariff จะได้รับผลกระทบในด้านต้นทุนและแรงซื้อมากที่สุด ซึ่งหากว่าสถานการณ์คลี่คลาย แรงกดดันดังกล่าวก็จะผ่อนคลายลง
3.กลุ่มเทคฯ ที่เรายังคงชอบกลุ่มซอฟต์แวร์ (MSFT ORCL) มากกว่าฮาร์ดแวร์หลังแนวโน้มการเติบโตยังได้ประโยชน์จากอุปสงค์ AI ที่โต
4.Mag7 ที่เราประเมินว่าระยะสั้นสามารถเก็งกำไรเป็นรอบๆได้ตาม Sentiment และ Event ที่จะเกิดขึ้น โดย 1) NVDA เรามองเก็งกำไรบนงบที่คาดว่าจะออกมาดีได้หลัง CAPEX กลุ่มเทคฯใหญ่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เราคาดว่าความต้องการชิป AI จะดี รวมถึงเริ่มเห็น Sentiment บวกเพิ่มขึ้น เช่น ทรัมป์เตรียมยกเลิกกฎการจำกัดการส่งออกเซมิฯขั้นสูงของไบเดน 2) TSLA ที่เราเชื่อว่าการเติบโตเริ่ม Bottom แล้ว ทำให้ระยะถัดไปการฟื้นตัวจะเห็นได้จากฐานที่ต่ำปีก่อนแลพัฒนาการเชิงบวกในกลุ่มธุรกิจใหม่ 3) กลุ่มที่เผยงบและแนวโน้มดีกว่าคาด เช่น MSFT META GOOGL
2.หากว่าภาพสงครามการค้าเริ่มรุนแรงขึ้นและกลับมาน่ากังวลอีกครั้ง เราแนะอยู่ในกลุ่มที่ปลอดภัยและมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกที่น้อยอย่าง
1.กลุ่ม Utilities (NEE DUK) หลังเป็นกลุ่ม Defensive และมีแหล่งรายได้ที่มั่นคง รวมถึงแนวโน้มธุรกิจยังได้รับประโยชน์จากความต้องการ Data Center เช่น การผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น กลุ่ม
2.Telecom (AT&T VZ) หลังเป็นหุ้น Defensive และมีรายได้ที่มั่นคงหลังธุรกิจและบริการเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น อินเทอร๋เนต นอกจากนี้รายได้ของกลุ่มยังมาจาก Domestic เยอะ ทำให้ภาพธุรกิจได้รับผลกระทบจาก Tariff ที่จำกัด
3.Healthcare Service (UNH CVS) มีแนวโน้มการเติบโตดีสะท้อนผ่านงบใน 1Q25 และตำแหน่งธุรกิจที่มีผลกระทบ Tariff ที่จำกัดกว่ากลุ่มผู้ผลิตยาหลังมีธุรกิจใน Domestic