วอลต์ ดิสนีย์ กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในโลกความบันเทิง ด้วยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจสตรีมมิงที่ กลับมาทำกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ ล่าสุดบริษัทประกาศความร่วมมือกับ Miral (ผู้พัฒนาและผู้บริหารโครงการด้านการท่องเที่ยวและความบันเทิงรายใหญ่ในอาบูดาบี) สร้างสวนสนุกดิสนีย์แห่งที่ 7 ของโลกที่อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมกับการเปิดตัวภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Thunderbolts (เรื่องราวทีมฮีโร่และวายร้ายที่รวมตัวทำภารกิจ) จาก Marvel Studios ที่ขึ้นอันดับหนึ่งบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก สะท้อนภาพดิสนีย์ในฐานะผู้นำความบันเทิงที่เดินหน้าขยายอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง
วอลต์ ดิสนีย์ คือบริษัทความบันเทิงที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี โดยเริ่มจากสตูดิโอแอนิเมชันเล็กๆ ที่สร้างตัวละครระดับตำนานอย่าง Mickey จนกลายเป็นบริษัทมหาชนที่ครอบคลุมธุรกิจความบันเทิงแบบครบวงจร
หนึ่งในจุดแข็งของดิสนีย์คือการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) อย่างชาญฉลาด ทั้ง Marvel, Star Wars และ Pixar ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากภาพยนตร์และซีรีส์ แต่ยังต่อยอดไปถึงสินค้า ธีมพาร์ก และประสบการณ์แบบอินเตอร์แอคทีฟที่แฟนๆ มีส่วนร่วมได้ อีกทั้งบริษัทยังเร่งทรานส์ฟอร์มองค์กร โดยใช้ข้อมูลผู้ชมจากแพลตฟอร์มดิจิทัลมาพัฒนาเนื้อหาและกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างแม่นยำ
1. ฝ่ายความบันเทิง (Entertainment) สัดส่วนรายได้ 45% - ประกอบด้วยช่องทีวีเครือข่าย, แพลตฟอร์มสตรีมมิงอย่าง Disney+ และ Hulu รวมถึงการจัดจำหน่ายภาพยนตร์
2. ฝ่ายกีฬา (Sports) สัดส่วนรายได้ 19% - ดูแลเครือข่าย ESPN และการถ่ายทอดกีฬา
3. ฝ่ายประสบการณ์ (Experiences) สัดส่วนรายได้ 36% - บริหารสวนสนุก โรงแรม เรือสำราญ และสินค้าลิขสิทธิ์
กลยุทธ์การเติบโตของดิสนีย์มุ่งเน้น 4 เรื่องหลัก: การสร้างคอนเทนต์คุณภาพสูงจากสตูดิโอภาพยนตร์, การพัฒนาธุรกิจสตรีมมิงให้มีกำไรอย่างยั่งยืน, การพัฒนา ESPN เป็นแพลตฟอร์มกีฬาดิจิทัลชั้นนำ และการเร่งการเติบโตระยะยาวในส่วนธุรกิจประสบการณ์
Netflix มีรายได้หลักจากการสมัครสมาชิกแบบจ่ายรายเดือน เพื่อให้บริการสตรีมมิงหนัง ซีรีส์ และคอนเทนต์ออริจินัลที่ผลิตเอง ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกและความสามารถในการรักษาฐานผู้ใช้งาน Netflix ลงทุนหนักในเนื้อหาคุณภาพสูงเพื่อดึงดูดและรักษาผู้ชมทั่วโลก แม้ Netflix จะมีผู้ใช้งานสูงถึงประมาณ 301 ล้านราย ขณะที่ Disney+ มีผู้ใช้งานประมาณ 126 ล้านราย แต่ Disney มีรายได้หลากหลายจากบริการสตรีมมิง สวนสนุก สินค้าลิขสิทธิ์ และธุรกิจกีฬา ทำให้โมเดลรายได้ของ Disney มีความหลากหลายและเสริมกันมากกว่า Netflix ที่ยังพึ่งพารายได้จากสมาชิกเป็นหลัก
เมื่อเทียบกับบริษัทในประเทศไทย แม้จะไม่มีบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจแบบดิสนีย์โดยตรง แต่สามารถเปรียบเทียบในภาพรวมได้กับ บีอีซี เวิลด์ (BEC) ซึ่งเป็นเจ้าของช่อง 3 และมีจุดแข็งด้านการผลิตละครโทรทัศน์ สร้างรายได้จากการขายโฆษณาและลิขสิทธิ์คอนเทนต์ รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล CH3Plus เพื่อรับมือกับพฤติกรรมผู้ชมที่เปลี่ยนไป ส่วน GMM Grammy มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลายกว่า ครอบคลุมทั้งค่ายเพลง การจัดคอนเสิร์ต ธุรกิจซีรีส์ผ่าน GMMTV และสื่อดิจิทัลที่ร่วมมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิงต่างประเทศ แม้ทั้งสองบริษัทจะเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก แต่ก็มีจุดร่วมกับ Disney ตรงการสร้างคอนเทนต์เป็นแกนกลางของธุรกิจ แม้ว่า Disney จะมีขนาดธุรกิจใหญ่และครอบคลุมทั่วโลกก็ตาม
ดิสนีย์ประกาศความร่วมมือกับ Formula 1 เตรียมนำ Mickey & Friends สู่โลกความเร็วในปี 2026 ผ่านประสบการณ์ เนื้อหา และสินค้าทั่วโลก เพื่อตอบรับฐานแฟนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบัน 54% ของผู้ติดตาม F1 บน TikTok มีอายุต่ำกว่า 25 ปี
ความร่วมมือนี้ช่วยขยายแบรนด์ดิสนีย์สู่แฟน F1 ทั่วโลกกว่า 820 ล้านคน ขณะเดียวกันก็เพิ่มความหลากหลายและไลฟ์สไตล์ให้กับโลกของ F1 ผ่านตัวละครคลาสสิกระดับโลกอย่างมิกกี้เมาส์และผองเพื่อน
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าดิสนีย์กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยธุรกิจสตรีมมิงที่เคยขาดทุนเริ่มทำกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ Bloomberg Intelligence และ Morgan Stanley ชื่นชมกลยุทธ์การบริหารต้นทุนและการสร้างรายได้จากคอนเทนต์ข้ามแพลตฟอร์ม ขณะที่ Deutsche Bank ชี้ว่าการเติบโตของธุรกิจสวนสนุกและเรือสำราญยังคงแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม Barclays และ Goldman Sachs มองว่าความสำเร็จระยะยาวยังขึ้นอยู่กับ
1) การขยายฐานผู้ใช้งานสตรีมมิงทั่วโลก
2) การรักษาความเป็นผู้นำด้านคอนเทนต์
3) ความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดย CEO Bob Iger คนปัจจุบันแสดงความมั่นใจในศักยภาพของบริษัท ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำให้นักลงทุนพิจารณาความเสี่ยงควบคู่ไปกับโอกาส
นักวิเคราะห์จาก Ameriprise และ FDA ระบุความเสี่ยงสำคัญสองประการ ได้แก่ การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสวนสนุกโดยเฉพาะจากการเปิด Epic Universe ของ Universal ที่จะเปิดในเดือนพฤษภาคมนี้ และความท้าทายในการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลที่กระทบธุรกิจทีวีแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอาจส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสวนสนุกและบริการความบันเทิง
นอกจากนี้ ดิสนีย์ยังประสบปัญหาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลต่อสวนสนุกในสหรัฐฯ และการเติบโตที่ชะลอตัวของธุรกิจในจีน แต่บริษัทเชื่อว่าการลงทุนในแพลตฟอร์มสตรีมมิงและการขยายธุรกิจสวนสนุกในตะวันออกกลางจะช่วยกระจายความเสี่ยงในระยะยาว
สนใจลงทุนในหุ้น Walt Disney (DIS) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด สนใจเปิดบัญชีลงทุน
https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน