Company History

ทุกการรูดบัตรคือกำไรของ Visa (V.US): โมเดลธุรกิจสุดแกร่งที่ Buffett ยังถือยาว

6 Jun 25 6:17 PM
VISA (V.US)
สรุปสาระสำคัญ

Visa Inc. (V) คือบริษัทชั้นนำจากสหรัฐอเมริกาที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NYSE (New York Stock Exchange) เมื่อพูดถึงการชำระเงินดิจิทัล ไม่มีบริษัทใดจะมีอิทธิพลเหนือกว่า Visa นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และปฏิวัติการชำระเงินออนไลน์ Visa ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในหุ้นที่มั่นคงและเติบโตได้อย่างยั่งยืนที่สุดในโลก ด้วยเครือข่ายการชำระเงินที่เข้าถึงได้กว่า 200 ประเทศ และกำลังขยายธุรกิจสู่สกุลเงินดิจิทัล Stablecoin และบล็อกเชน นี่คือบริษัทที่นักลงทุนที่แสวงหาการเติบโตระยะยาวและความมั่นคงในพอร์ตการลงทุนไม่ควรมองข้าม ขนาด Warren Buffett ยังถือหุ้น Visa ผ่าน Berkshire Hathaway มากกว่า 8.29 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 2.9 พันล้านดอลลาร์ และเริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2011 สะท้อนถึงความมั่นใจในโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทนี้

ประวัติและความเป็นมาของ Visa


Visa มีรากเหง้ามาจากการก่อตั้ง BankAmericard โดย Bank of America ในปี 1958 ซึ่งถือเป็นบัตรเครดิตบัตรแรกที่มีระบบเครดิตหมุนเวียน (Revolving Credit) ด้วยวิสัยทัศน์ของ Dee Hock ผู้ก่อตั้ง Visa ที่ต้องการสร้างระบบการแลกเปลี่ยนมูลค่าที่ดีที่สุดในโลก

 

การพัฒนาที่สำคัญเกิดขึ้นในปี 1973 เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อจาก National BankAmericard Inc. มาเป็น Visa หลังจากที่ได้พัฒนาระบบอัตโนมัติสำหรับการอนุมัติและชำระเงินข้ามประเทศ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมได้อย่างมีนัยสำคัญ


ปัจจุบัน Visa ดำเนินธุรกิจภายใต้โมเดล Four-Party Clearing Model ที่เชื่อมโยงธนาคาร ผู้ค้า ผู้บริโภค และสถาบันการชำระเงิน โดยมีฐานผู้ใช้งานถึง 4.3 พันล้านคน ร่วมงานกับสถาบันการเงิน 14,000 แห่ง และประมวลผลการชำระเงินมูลค่า 12.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

 

โครงสร้างรายได้ของ Visa


Visa สร้างรายได้จากธุรกิจหลัก 4 กลุ่ม ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในรายได้:

 

  1. Service Revenue – 45 %

กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณธุรกรรมทั่วโลก และการลงทุนในระบบ AI/authorization เพื่อเพิ่มความเร็วและความปลอดภัย

  1. Data Processing Revenue – 48%

กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูง จากปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นและการให้บริการ analytics แบบ AI-powered

  1. International Transaction Revenue – 35%

กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูง จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ การเติบโตของ e‑commerce และการใช้จ่ายข้ามพรมแดน

  1. Value‑Added Services – 7%

กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูง จากการใช้ AI ในการป้องกันโกง ($40 B ป้องกัน fraud 2023) และการขยายพอร์ตบริการใหม่ เช่น ARIC Risk Hub และ Authorize.net

 

 

Picture1.png

 

 

กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและจุดแข็ง


Visa มีจุดแข็งหลักจากการเป็นเครือข่ายเปิด (Open-Loop Network) ที่เชื่อมโยงผู้ออกบัตรและผู้รับบัตรผ่านระบบหลายฝ่าย แทนที่จะเป็นเครือข่ายปิดเหมือนคู่แข่งบางราย ทำให้สามารถขยายธุรกิจได้กว้างขวางมากกว่า


Network Effect และ Brand Power Visa ได้ประโยชน์จาก Network Effect ที่ยิ่งมีผู้ใช้มากยิ่งดึงดูดผู้ค้าให้เข้าร่วม และยิ่งมีผู้ค้ามากยิ่งดึงดูดผู้ใช้ใหม่ ประกอบกับแบรนด์ที่แข็งแกร่งทำให้มี Switching Cost สูงสำหรับลูกค้า


การลงทุนด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัย บริษัทใช้ข้อมูลธุรกรรมขนาดใหญ่และอัลกอริทึม AI ขั้นสูง เช่น Neural Networks และ Bayesian Models เพื่อสร้างระบบป้องกันการฉ้อโกงที่มีประสิทธิภาพ


การขยายสู่ Stablecoin และ Blockchain Visa เป็นเครือข่ายการชำระเงินรายแรกที่ใช้ Stablecoin (USDC) ในการชำระเงินจริงผ่าน Ethereum และ Solana blockchain ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการชำระเงินข้ามประเทศ

 

 

การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง


เทียบกับ Mastercard (MA): Visa และ Mastercard ต่างก็ใช้โมเดลธุรกิจแบบ Open-Loop Network ที่เชื่อมโยงธนาคาร ผู้ออกบัตร ร้านค้า และผู้ถือบัตรผ่านระบบเครือข่ายกลาง แต่ Visa มีส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่กว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลักที่สร้างรายได้สำคัญ ขณะที่ Mastercard แข็งแกร่งและเติบโตเร็วกว่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา


สิ่งที่แตกต่างกันคือกลยุทธ์การเติบโตของทั้งสองบริษัท Visa เน้นการเพิ่มจำนวนธุรกรรม (Transaction-centric) คือยิ่งมีธุรกรรมมากเท่าไร รายได้ก็จะโตตามจำนวนครั้งที่เกิดขึ้น ส่วน Mastercard จะเน้นที่การเพิ่มมูลค่าการใช้จ่าย (Spend-centric) โดยพยายามกระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายด้วยบัตรในจำนวนเงินที่สูงขึ้นในแต่ละครั้ง ซึ่งสะท้อนจากรายได้ที่สัมพันธ์กับยอดใช้จ่ายรวม

 

 

เมื่อเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย 

 

เทียบกับ Krungthai Card (KTC): Krungthai Card (KTC) เป็นผู้ออกบัตรเครดิตรายใหญ่ในไทยที่ใช้เครือข่าย Visa เป็นพื้นฐานการชำระเงิน แต่โมเดลธุรกิจของ KTC แตกต่างจาก Visa อย่างชัดเจน โดย KTC สร้างรายได้หลักจากดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมที่เก็บจากผู้ถือบัตร เช่น ค่าปรับ ค่าชำระล่าช้า หรือค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งหมายความว่า KTC ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านเครดิตหากลูกค้าไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด ในทางกลับกัน Visa ไม่ได้ปล่อยสินเชื่อหรือเก็บดอกเบี้ยจากผู้ถือบัตรโดยตรง แต่สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมเครือข่ายที่คิดจากสถาบันการเงินที่ออกบัตรและร้านค้า ซึ่งทำให้ Visa ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิตและสามารถเน้นขยายเครือข่ายการชำระเงินได้อย่างกว้างขวางและมั่นคงมากกว่า

 

 

ความท้าทายและความเสี่ยง


Visa เผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากระบบการชำระเงินแบบใหม่ เช่น Digital Wallets และ Central Bank Digital Currencies (CBDC) ที่อาจลดการพึ่งพาเครือข่ายดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะการควบคุมค่าธรรมเนียม Interchange ในหลายประเทศที่อาจลดรายได้


ความเสี่ยงด้านไซเบอร์เซกิวริตี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจาก Visa ต้องรายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ภายในกรอบเวลาที่กำหนดอย่างเข้มงวด หากล้มเหลวอาจต้องเผชิญกับค่าปรับ การฟ้องร้อง และความเสียหายต่อแบรนด์

 

 

อนาคตและโอกาส


Visa มีโอกาสเติบโตจากเทรนด์การเปลี่ยนผ่านสู่การชำระเงินไร้เงินสด (Cashless Society) ที่ยังคงมีพื้นที่เติบโตมาก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่ยังมีการใช้เงินสดสูง การลงทุนใน Stablecoin และ Blockchain Technology จะช่วยให้ Visa สามารถรองรับ CBDC และระบบการชำระเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ในอนาคต


การขยายธุรกิจ Value-Added Services ผ่านการซื้อกิจการ เช่น Featurespace และ Pismo จะช่วยเพิ่มรายได้จากบริการที่มีอัตรากำไรสูงและลดการพึ่งพาธุรกิจหลัก การพัฒนา AI และ Machine Learning เพื่อป้องกันการฉ้อโกงจะยิ่งเสริมความได้เปรียบในการแข่งขัน


สนใจลงทุนในหุ้น Visa (V) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด สนใจเปิดบัญชีลงทุน คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

Stocks Mentioned
V.N
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5