Circle Internet Group (CRCL.N) บริษัทแห่งสหรัฐอเมริกาผู้ออก Stablecoin USDC เหรียญรายใหญ่อันดับสองของโลก รองมาจาก Tether (USDT) กำลังสร้างประวัติศาสตร์ในตลาดหุ้นอเมริกา หลังจากที่ราคาหุ้นพุ่งสูงถึง168% ในวันเปิดเทรดบน New York Stock Exchange คิดเป็นมูลค่าตลาดมหาศาลกว่า 18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ Circle ไม่ใช่แค่บริษัทสตาร์ทอัพคริปโตธรรมดา แต่เป็นผู้นำในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินยุคใหม่ที่เชื่อมโลกดิจิทัลกับระบบการเงินแบบดั้งเดิม ด้วย USDC (US dollar coin: เหรียญดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่เทียบเท่าดอลลาร์สหรัฐ) ที่มีมูลค่าหมุนเวียนกว่า 60 พันล้านดอลลาร์ และมีผู้ใช้งานมากกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก บริษัทแห่งนี้กำลังเปลี่ยนวิธีการโอนเงินข้ามประเทศจากแบบที่ใช้เวลาหลายวันให้กลายเป็นการทำรายการแบบเรียลไทม์ในค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าระบบดั้งเดิมอย่างมาก
Circle Internet Group ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 โดย Jeremy Allaire และ Sean Neville ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัลแบบ peer-to-peer ในช่วงแรกบริษัทเริ่มต้นจากการให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัลและแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Bitcoin ให้กับผู้บริโภคทั่วไป โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Circle เกิดขึ้นเมื่อปี 2018 เมื่อบริษัทร่วมมือกับ Coinbase เปิดตัว USD Coin (USDC) ผ่านคอนซอร์เซียมที่ชื่อว่า Centre โดย USDC เป็น Stablecoin ที่ถูกออกแบบให้มีค่าคงที่ผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1:1 และมีการสำรองเต็ม 100% ด้วยเงินสดและหลักทรัพย์รัฐบาลอเมริการะยะสั้น
การย้ายสำนักงานใหญ่มายัง One World Trade Center ในนิวยอร์กซิตี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Circle ในการเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินระดับโลก นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นบริษัทแรกที่ได้รับ BitLicense จากรัฐนิวยอร์กในปี 2015 ซึ่งถือเป็นใบอนุญาตที่ยากที่สุดในการได้รับในอุตสาหกรรมคริปโตของอเมริกา
Circle มีโครงสร้างรายได้ที่เข้มแข็งและหลากหลาย โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก
โครงสร้างรายได้นี้ทำให้ Circle มีความยั่งยืนทางธุรกิจ เนื่องจากไม่พึ่งพารายได้จากแหล่งเดียว แต่มีการกระจายความเสี่ยงผ่านหลากหลายช่องทางรายได้ที่เติบโตควบคู่กับการขยายตัวของตลาด Stablecoin
Circle มีจุดแข็งหลักจากการเป็นบริษัท Stablecoin ที่มีระดับการกำกับดูแลและความโปร่งใสสูงที่สุดในอุตสาหกรรม บริษัทเผยแพร่รายงานการตรวจสอบเงินสำรองรายเดือนโดยบริษัทสอบบัญชีระดับ Big Four และได้รับใบอนุญาตด้านการเงินดิจิทัลจากหน่วยงานกำกับดูแลมากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก รวมถึงการเป็นบริษัท Stablecoin แรกที่ปฏิบัติตาม Markets in Crypto-Assets (MiCA) ของสหภาพยุโรป
USDC ได้รับการสนับสนุนจากระบบนิเวศการเงินดิจิทัลที่กว้างขวาง โดยสามารถใช้งานได้บน Blockchain มากกว่า 20 เครือข่าย และมีการพัฒนา Cross-Chain Transfer Protocol (CCTP) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอน USDC ระหว่าง Blockchain ต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว
Circle ยังมีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับสถาบันการเงินและบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก เช่น Grab ในสิงคโปร์, Nubank ในบราซิล, Mercado Libre ในละตินอเมริกา และ Mastercard ที่ร่วมกันพัฒนาโซลูชันการชำระเงินด้วย USDC บริษัทยังลงทุนในการพัฒนา Circle Payments Network ที่เชื่อมต่อสถาบันการเงินทั่วโลกเพื่อการชำระเงินแบบ Real-time Settlement ตลอด 24 ชั่วโมง
เมื่อเปรียบเทียบกับ PayPal Holdings Inc. (PYPL): PayPal เปิดตัว Stablecoin ของตนชื่อ PYUSD ซึ่งเน้นการใช้งานภายใน Ecosystem ของ PayPal เช่น การโอนเงินระหว่างผู้ใช้และการชำระเงินในระบบของตนเอง ในขณะที่ Circle มุ่งเน้นการพัฒนา USDC เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบเปิดที่รองรับการใช้งาน cross-border และเชื่อมต่อกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั่วโลก PYUSD อยู่ภายใต้การกำกับของ NYDFS (New York Department of Financial Services หรือ กรมบริการทางการเงินแห่งรัฐนิวยอร์ก) เช่นเดียวกับ USDC แต่ PayPal เน้นฐานผู้ใช้รายย่อยเป็นหลัก ส่วน Circle เจาะตลาดองค์กรและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ จุดแข็งของ PayPal คือฐานผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 400 ล้านบัญชี ขณะที่ Circle ได้เปรียบด้านความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม Web3, FinTech และธนาคารทั่วโลก
เมื่อเปรียบเทียบกับ Binance TH by Gulf Binance ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Gulf Groupและ Binance ที่ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตชั้นนำในไทย Binance TH เริ่มขยายเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเช่นเดียวกับ Circle โดยพัฒนาโซลูชันด้าน Digital Payment, Blockchain และ Cybersecurity สำหรับองค์กร จุดต่างคือ Circle มุ่งพัฒนา Stablecoin เป็นผลิตภัณฑ์หลักเพื่อเชื่อมระบบการเงินข้ามประเทศ ขณะที่ Binance TH ยังเน้นให้บริการเทคโนโลยีในประเทศเป็นหลัก โดยอาศัยจุดแข็งด้านความเข้าใจตลาดไทยและฐานผู้ใช้งานคริปโตในประเทศจำนวนมาก ช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล
Circle ต้องเผชิญกับความท้าทายหลักจากการพึ่งพารายได้จากดอกเบี้ยเงินสำรอง ซึ่งผูกติดกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หากธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ย รายได้ของ Circle จะลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากคู่แข่งทั้ง Tether และ Central Bank Digital Currencies (CBDCs) ที่หลายประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ บริษัทยังต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมายในหลายประเทศที่มีกฎเกณฑ์แตกต่างกันและอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา รวมถึงความเสี่ยงจากเหตุการณ์ธนาคารล้มละลายอย่างที่เกิดขึ้นกับ Silicon Valley Bank ซึ่งเคยเป็นคู่ค้าของ Circle
Circle มีโอกาสการเติบโตที่น่าสนใจจากการขยายตัวของตลาด Stablecoin ที่คาดว่าจะเติบโตจาก 227 พันล้านดอลลาร์ปัจจุบันไปสู่ 500-750 พันล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าตามการประเมินของ J.P. Morgan บริษัทมีแผนขยายธุรกิจไปยังตลาดเอเชียและยุโรปผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น รวมถึงการพัฒนา Euro-denominated Stablecoin (EURC) เพื่อรองรับความต้องการในตลาดยุโรป
การพัฒนาเทคโนโลยี Cross-Chain Interoperability และ Programmable Money จะช่วยให้ Circle สามารถสร้างบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของธุรกิจสมัยใหม่ นอกจากนี้ การที่รัฐบาลสหรัฐมีทิศทางสนับสนุน Stablecoin มากขึ้นและกำลังเตรียมกฎหมายเฉพาะสำหรับ Stablecoin จะช่วยสร้างความชัดเจนทางกฎหมายและเปิดโอกาสให้ Circle ขยายบริการไปยังสถาบันการเงินดั้งเดิมได้มากขึ้น
-----
สนใจลงทุนในหุ้น Circle (CRCL.N) และหุ้นเทคโนโลยีอื่นๆ จากทั่วโลกได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด สนใจเปิดบัญชีลงทุน คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน