Keyword
Company History

Starbucks (SBUX): กาแฟพรีเมียมที่ต้องพิสูจน์คุณค่า หรือ ถึงเวลาที่ต้องปรับราคา

24 Jun 25 5:35 PM
Starbucks (SBUX): กาแฟพรีเมียมที่ต้องพิสูจน์คุณค่า หรือ ถึงเวลาที่ต้องปรับราคา
สรุปสาระสำคัญ

Starbucks Corporation (SBUX) บริษัทเครือข่ายร้านกาแฟระดับโลกจากสหรัฐอเมริกาที่จดทะเบียนใน NASDAQ แนวคิด ‘Third Place’ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Starbucks โดดเด่น ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างพื้นที่ทางเลือกที่ไม่ใช่บ้านหรือที่ทำงาน แต่เป็นจุดพบปะของผู้คน พื้นที่ที่ให้ทุกคนได้ทำงาน พักผ่อน หรือพูดคุยอย่างเป็นกันเอง พร้อมเพลิดเพลินกับกาแฟคุณภาพ ในบรรยากาศแสนอบอุ่น ปัจจุบัน Starbucks มีสาขามากกว่า 30,000 แห่งทั่วโลก และแม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์ ‘Back to Starbucks’ ภายใต้การนำของซีอีโอคนใหม่ Brian Niccol มุ่งกลับไปสู่แก่นแท้ของแบรนด์ นั่นคือการสร้างประสบการณ์ในร้านที่อบอุ่นและเป็นกันเอง มากกว่าการเน้นสั่งออนไลน์หรือบริการเดลิเวอรีเพียงอย่างเดียว ท่ามกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนไป แนวทางนี้จึงถูกจับตามองว่า จะสามารถคืนความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำในฐานะ Third Place ให้กับ Starbucks ได้อีกครั้งหรือไม่

จากร้านกาแฟเล็ก ๆ สู่จักรวรรดิกาแฟระดับโลก

 

Starbucks เริ่มต้นจากร้านกาแฟเล็ก ๆ ใน Seattle's Pike Place Market ในปี 1971 จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1987 เมื่อ Howard Schultz อดีตพนักงานขายเครื่องถ้วยชามที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมคาเฟ่ของอิตาลี ได้ซื้อกิจการและนำแนวคิด Third Place มาพัฒนาเป็นหัวใจของแบรนด์

 

ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 Starbucks ขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์สำคัญอย่าง Frappuccino, Starbucks Card และการให้บริการ Wi-Fi ในร้าน บริษัทยังให้ความสำคัญกับการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีจริยธรรมและการดูแลพนักงาน ด้วยสวัสดิการด้านสุขภาพและโอกาสทางการศึกษา 

 

ในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008 Howard Schultz กลับมาดำรงตำแหน่ง CEO และเริ่มการปฏิรูปครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูแบรนด์ ต่อมาบริษัทผ่านการเปลี่ยนแปลงผู้นำหลายครั้ง จนกระทั่ง Brian Niccol เข้ามาเป็น CEO พร้อมกับเปิดตัวกลยุทธ์ "Back to Starbucks" เพื่อมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้นและการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

 

โครงสร้างรายได้จากหลากหลายผลิตภัณฑ์

 

Starbucks มีโครงสร้างรายได้ที่หลากหลายและกระจายความเสี่ยงได้ดี โดยแบ่งตามประเภทผลิตภัณฑ์และบริการหลัก:

  1. เครื่องดื่มกาแฟร้อนและเย็น - 65% ของรายได้รวม
    รวมถึงเอสเปรสโซ่ ลาเต้ คาปูชิโน่ อเมริกาโน่ และเครื่องดื่มกาแฟเย็นอย่าง Cold Brew และ Nitro Cold Brew กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้มีแนวโน้มเติบโตจากการพัฒนาสูตรใหม่ตามฤดูกาล การใช้เมล็ดกาแฟพิเศษ และการเพิ่มตัวเลือกนมทางเลือกเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่หลากหลาย
  2. เครื่องดื่มไม่มีกาแฟและขนมหวาน - 20% ของรายได้รวม
    ประกอบด้วย Frappuccino Tea Latte และเบเกอรี่ต่าง ๆ อย่างเค้ก มัฟฟิน และแซนด์วิช กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้มีแนวโน้มเติบโตจากการขยายเมนูอาหารและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมากขึ้น
  3. ผลิตภัณฑ์ค้าปลีกและสินค้าที่ระลึก - 10% ของรายได้รวม
    รวมถึงเมล็ดกาแฟบรรจุถุง กาแฟแคปซูล เครื่องชงกาแฟ แก้วและสินค้าของที่ระลึกแบรนด์ Starbucks กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้มีแนวโน้มเติบโตจากการขยายช่องทางออนไลน์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในบ้าน
  4. บริการและอื่นๆ - 5% ของรายได้รวม
    ประกอบด้วยบริการ Wi-Fi, Starbucks Card, แอปพลิเคชัน My Starbucks Rewards และรายได้จากค่าแฟรนไชส์ กลุ่มบริการนี้มีแนวโน้มเติบโตจากการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและการสร้างระบบนิเวศลูกค้าที่ครบวงจร

xxxx.png

 

โครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวนี้ช่วยให้ Starbucks มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวเมื่อเผชิญกับความผันผวนของความต้องการในแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตั้งแต่เครื่องดื่มหลักไปจนถึงสินค้าเสริม

 

 

กลยุทธ์ "Back to Starbucks" และจุดแข็งเชิงแข่งขัน

 

Starbucks วางกลยุทธ์การฟื้นฟูผ่านแผน "Back to Starbucks" มุ่งเน้นการยกระดับประสบการณ์ในร้าน เพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้า ผ่านการปรับปรุงการดำเนินงานในร้าน การลงทุนด้านบุคลากร และการพัฒนาเมนู Seasonal และบริการใหม่ ๆ

จุดแข็งหลักของ Starbucks คือการสร้าง "Third Place" (พื้นที่พิเศษที่ไม่ใช่บ้านหรือที่ทำงาน แต่เป็นจุดนัดพบของชุมชน) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ทำให้ลูกค้าเกิดความผูกพันกับแบรนด์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยี ผ่านแอปพลิเคชัน Starbucks Rewards ที่มีสมาชิกกว่า 30 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา

 

อีกจุดแข็งสำคัญคือระบบควบคุมคุณภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดสรรเมล็ดกาแฟจากแหล่งเพาะปลูกคุณภาพทั่วโลก กระบวนการคั่วที่ได้มาตรฐาน ไปจนถึงการกระจายสินค้า ซึ่งช่วยให้ Starbucks บริหารทั้งคุณภาพและต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมส่งเสริมความยั่งยืนผ่านโปรแกรม C.A.F.E. (Coffee and Farmer Equity) Practices ที่สนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอย่างเป็นธรรม

 

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก  

 

เทียบกับ Tim Hortons Inc. (THI) ในสหรัฐอเมริกา: Starbucks และ Tim Hortons มีแนวทางธุรกิจที่แตกต่างกัน โดย Tim Hortons เน้นความเป็นมิตรกับชุมชนและราคาประหยัด เน้นการเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของคนแคนาดา เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการกาแฟและโดนัทแบบคลาสสิกที่คุ้นเคย พร้อมบริการแบบ drive-thru ที่รวดเร็ว และเมนูอาหารเช้าที่ง่ายต่อการบริโภค ขณะที่ Starbucks เน้นการสร้างประสบการณ์พรีเมียม ผ่านการออกแบบร้านที่ให้ความรู้สึกเหมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับการนั่งทำงานเป็นเวลานาน พร้อมด้วยเมนูเครื่องดื่มคุณภาพสูงที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น เครื่องดื่ม Signature ตามฤดูกาล และการคัดสรรเมล็ดกาแฟเกรดพิเศษ สิ่งนี้สะท้อนผ่านราคาที่สูงกว่าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและภาพลักษณ์แบรนด์ระดับพรีเมียม

 

 

เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย 

 

เทียบกับ After You (AU): ในตลาดไทย แม้ After You Dessert Café จะไม่ใช่แบรนด์ระดับโลกที่เน้นความหรูหราเช่นเดียวกับ Starbucks แต่ทั้งสองต่างมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ “การบริโภคเพื่อผ่อนคลาย” และสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งคู่ใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น แอปสะสมแต้มและบริการสั่งล่วงหน้า เพื่อเพิ่มความสะดวกและสร้างความผูกพันกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม โมเดลธุรกิจแตกต่างกันอย่างชัดเจน — After You เป็นธุรกิจแบบ asset-heavy ที่บริหารร้านเองและเน้นรายได้จากยอดขายหน้าร้าน โดดเด่นด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น เมนูตามฤดูกาล และการขยายสาขาอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาคุณภาพ ขณะที่ Starbucks ใช้โมเดลแฟรนไชส์และขยายสาขาอย่างรวดเร็วทั่วโลก ด้วยระบบมาตรฐานที่สม่ำเสมอและประสบการณ์ “Third Place” อันเป็นเอกลักษณ์

 

 

ความท้าทายและการแข่งขันในตลาด

 

Starbucks เผชิญกับความท้าทายหลายประการในปัจจุบัน โดยเฉพาะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากแบรนด์กาแฟท้องถิ่นในหลายตลาด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

ในตลาดจีน Starbucks ต้องแข่งขันกับแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Luckin Coffee ที่ใช้กลยุทธ์ราคาต่ำและเทคโนโลยีดิจิทัล ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับการแข่งขันจากร้านกาแฟอิสระและเครือข่ายใหม่ ๆ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่เพิ่มขึ้นและความผันผวนของราคาเมล็ดกาแฟก็เป็นปัจจัยที่กดดันต่อกำไร

การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมการค้าปลีก โดยเฉพาะการเติบโตของการสั่งซื้อออนไลน์และการจัดส่ง ทำให้ Starbucks ต้องปรับกลยุทธ์และลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อรองรับความต้องการใหม่ของลูกค้า

 

 

อนาคตและโอกาสการเติบโต

 

แม้จะเผชิญกับความท้าทาย แต่ Starbucks ยังมีโอกาสการเติบโตที่น่าสนใจในหลายด้าน การดำเนินแผน "Back to Starbucks" คาดว่าจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งจะนำไปสู่การปรับตัวของยอดขายและความพึงพอใจของลูกค้า โดยเฉพาะการขยายตัวในตลาดเอเชียแปซิฟิก เช่น อินเดียและเวียดนาม ที่ยังมีศักยภาพสูงจากการเติบโตของชนชั้นกลางและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่เอื้อต่อการบริโภคกาแฟ นอกจากนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น เครื่องดื่มเย็นและอาหารเสริม ก็เป็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายต่อลูกค้า การลงทุนด้านเทคโนโลยีและระบบดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันและระบบสั่งซื้อล่วงหน้า จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและลดต้นทุนการดำเนินงาน ขณะเดียวกัน การมุ่งเน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์และดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ให้ความสำคัญกับค่านิยมเหล่านี้

 

สนใจลงทุนในหุ้น Starbucks (Ticker: SBUX หรือ DR : SBUX80) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b 

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

Stocks Mentioned
SBUX.NB
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5