รวมรายชื่อ กองทุนตัวท็อปที่ต้องมีติดพอร์ต ที่คัดมาแล้วว่าดี ฟรีค่าธรรมเนียม Front-end fee ไม่มีภาษีหุ้นต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2568
1.กองทุนดัชนีหุ้นสหรัฐฯ SCBS&P500A และ SCBS&P500
2.กองทุนหุ้นโลกเชิงรุก KKP GNP-H และ KKP GNP
3.กองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก K-GTECH
4.กองทุนหุ้นจีน All Shares K-CHINA-A(A)
5.กองทุนหุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A
6.กองทุนตราสารหนี้โลก UGIS-N
1.1 Why Now?
- การเข้ามาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนสูงจากมาตรการทางภาษี และสงครามการค้า แต่เมื่อตลาดได้รับรู้ผลกระทบจากมาตรการทางภาษีไปแล้วบางส่วน และประเทศต่างๆ ที่มีแนวโน้มเข้าเจรจากับทางสหรัฐฯ จึงอาจส่งผลให้เกิดความยืดเยื้อในการเจรจาการค้า และผลกระทบของมาตรการต่อตลาดจะเริ่มลดลง
- นอกจากนี้ตลาดยังไม่ได้รับรู้มาตรการสนับสนุนของพรรค Republican ที่มีโอกาสเกิดขึ้นระยะข้างหน้า อาทิ นโยบายการลดภาษีนิติบุคคล และแผนกระตุ้นการบริโภคในประเทศ รวมถึงทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงมองว่าในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงมา นักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อสะสมได้ในระยะยาว เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศผู้นำตลาด และมีขนาดใหญ่สุดในโลก ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำมากมาย ซึ่งยังคงเป็นบริษัทที่มีกำไร และสามารถเติบโตได้ในระยะยาว
1.2 Why SCBS&P500A and SCBS&P500?
- S&P500 Index มีมูลค่าตลาดกว่า 42 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ครอบคลุมประมาณ 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดหุ้น ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 51.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายหุ้นได้อย่างสะดวกรวดเร็ว มีเสถียรภาพสูง ด้านกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นมีความโปร่งใส ชัดเจน และมีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด
- มีการกระจายการลงทุนครอบคลุมหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเทคโนโลยีกลุ่มการเงิน กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มบริโภค เป็นต้น
- ประกอบด้วยหุ้นชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากมายและเป็นผู้นำตลาดในด้านต่างๆ เช่น Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Nvidia และ Tesla เป็นต้น
- ลงทุนผ่าน iShares Core S&P 500 ETF ซึ่งบริหารแบบ Passive Managed ที่โดยปกติแล้วจะมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนที่เป็น Active Managed
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (ณ 31 มี.ค. 25):
- 3 ปีย้อนหลัง 9.0% ต่อปี
- 5 ปีย้อนหลัง 18.6% ต่อปี
- 10 ปีย้อนหลัง 12.5% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 0.50%)
- มีชนิดหน่วยลงทุนให้เลือกทั้งชนิดสะสมมูลค่า SCBS&P500A และชนิดจ่ายเงินปันผล SCBS&P500
2.1 Why Now?
- การเข้ามาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนสูงจากมาตรการทางภาษี และสงครามการค้า แต่เมื่อตลาดได้รับรู้ผลกระทบจากมาตรการทางภาษีไปแล้วบางส่วน และประเทศต่างๆ ที่มีแนวโน้มเข้าเจรจากับทางสหรัฐฯ จึงอาจส่งผลให้เกิดความยืดเยื้อในการเจรจาการค้า และผลกระทบของมาตรการต่อตลาดจะเริ่มลดลง
- การมีสัดส่วนการลงทุนกระจายลงทุนในหุ้นทั่วโลก ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนชั้นนำคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ มีความมั่นคง มีแนวโน้มเติบโตสูง และปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด จะช่วยให้พอร์ตลงทุนมีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้นในเชิงภูมิภาคทั้งและเปิดรับโอกาสจากการฟื้นตัวของยุโรปและญี่ปุ่น โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงจากความผันผวนในระยะสั้น จะเป็นโอกาสเข้าสะสมลงทุนในหุ้นโลกเพื่อโอกาสการเติบโตในระยะยาว
2.2 Why KKP GNP-H และกองทุน KKP GNP?
- ลงทุนในกองทุนหลัก Capital Group New Perspective Fund ซึ่งกระจายลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ทั่วโลก ราว 250 บริษัท
- ถูกบริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนมากถึง 11 คน ซึ่งมีประสบการณ์เฉลี่ย 31 ปี จึงช่วยลดความเสี่ยงด้าน Key Man Risk และทำให้พอร์ตมีการกระจายการลงทุนดี
- คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ในบริษัทระดับโลกที่มั่นคง มีแนวโน้มเติบโตสูง และอยู่ในเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก โดยพอร์ตลงทุนมีการกระจายตัวดี ยืดหยุ่น และสมดุล โดยเน้นลงทุนใน 4 กลุ่มหุ้นหลัก ได้แก่ ธุรกิจเติบโตสูงและแข็งแกร่ง, ธุรกิจที่รับมือเงินเฟ้อได้ดี, ธุรกิจที่มีรายได้มั่นคงจากโมเดลสมาชิก และธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจ
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (ณ 31 มี.ค. 25):
- 1 ปีย้อนหลัง 5.5%
- 3 ปีย้อนหลัง 5.1% ต่อปี
- 5 ปีย้อนหลัง 15.0% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.25%)
- มีชนิดหน่วยลงทุนให้เลือกทั้งชนิดป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน KKP GNP-H และชนิดไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน KKP GNP
3.1 Why Now?
- การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเป็นการลงทุนที่คาดหวังการเติบโตจากศักยภาพที่อยู่ในระดับสูง บริษัทเหล่านี้มักเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรม (Innovation) รวมถึงการ Disruption ในธุรกิจอื่น
- นอกจากนี้ความสำคัญของเทคโนโลยีกับการใช้ชีวิตที่มีมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาทิ AI, Cloud Computing, Semiconductors, Cybersecurity เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว
- ในตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนสูงและมีการปรับตัวลดลงมา จึงเป็นโอกาสเข้าสะสมในช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวลดลงมาจากระดับ Valuation ที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยหุ้นเทคโนโลยียังมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาวเนื่องด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
3.2 Why K-GTECH?
- ลงทุนในกองทุนหลัก CT (Lux) Global Technology Fund ซึ่งมีเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกที่มีการเติบโต และมีมูลค่าเหมาะสม ราว 50 - 75 บริษัท
- กองทุนหลักถูกบริหารโดยทีมงานผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 27 ปี และยังมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในหลาย Sub-sector ของกลุ่มเทคโนโลยี ในการคอยช่วยประเมินอย่างใกล้ชิด
- ทีมผู้จัดการกองทุนหลักจะเน้นการวิเคราะห์เชิง Bottom-up เพื่อเฟ้นหาบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต และมีมูลค่าที่ไม่สูงจนเกินไป รวมถึงยังต้องเป็นบริษัทที่มีธรรมภิบาลดี
- กองทุนสามารถลงทุนในหุ้นทุกขนาดตั้งแต่ เล็ก - ใหญ่ จึงทำให้ทีมผู้จัดการกองทุนสามารถหาโอกาสการลงทุนที่ซ่อนตัวอยู่ในตลาดได้มากขึ้น
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน (ณ 31 มี.ค. 25):
- 1 ปีย้อนหลัง 2.1%
- 3 ปีย้อนหลัง 7.0% ต่อปี
- 5 ปีย้อนหลัง 22.4% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.50%)
4.1 Why Now?
- เนื่องด้วยระดับราคาหุ้นจีนที่ยังคงน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก จากช่วงที่ผ่านมาถูกกดดันจากมาตรการหรือนโยบายภายในประเทศ อย่างไรก็ตามภาครัฐได้กลับมาส่งสัญญาณสนับสนุนภาคเอกชนอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจ พร้อมเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อบริษัทเทคโนโลยีจีนจากเดิมที่เคยเข้มงวด ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural change) ที่สำคัญ แม้ภาวะเงินฝืดยังเป็นปัจจัยกดดัน แต่เริ่มเห็นการลดการแข่งขันด้านราคาของผู้ประกอบการ ขณะที่การเปิดตัว DeepSeek ยังสะท้อนถึงความก้าวหน้าด้าน AI ของจีน ซึ่งเป็นอีกแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในระยะยาว จึงมองว่าเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจจีนในระยะข้างหน้าที่มีโอกาสค่อยๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมา
- ขณะที่นโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์ อาจส่งผลกระทบจำกัดต่อตลาดหุ้นจีนจากสถิติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ภาคการส่งออกของจีนมีความสัมพันธ์ต่อการเติบโตของกำไรตลาดหุ้นจีนในระดับต่ำ จึงทำให้เป็นโอกาสสะสมลงทุนในระยะยาวในช่วงที่ตลาดมีการปรับย่อตัวลงมา
4.2 Why K-CHINA-A(A)?
- กองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund ลงทุนแบบเชิงรุก โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Bottom-up เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานรายบริษัทอย่างเชิงลึก และเลือกลงทุนแบบ High Conviction และ Long-term ในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโต และมีคุณภาพสูง
- ทีมผู้จัดการกองทุนหลักมี 2 ท่าน ประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 15 ปี และมีทีมนักวิเคราะห์หุ้นจีนที่แข็งแกร่งกว่า 23 ท่านที่มีประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 18 ปี ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างเชิงลึกเพื่อคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตลงทุน
- ทีมผู้จัดการกองทุนหลักจะใช้กรอบ Strategic Classifications มาประเมินหลักทรัพย์ทั้งหมด 3 ด้าน ประกอบด้วย Economics, Duration และ Governance และจะทำการประเมินปัจจัยอย่างการเติบโตของรายได้และเงินปันผล รวมถึงมูลค่าที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท เพื่อทำนายผลตอบแทนที่คาดหวังในกรอบระยะเวลา 5 ปีอีกด้วย และเมื่อประเมินอย่างครบถ้วนแล้ว ผู้จัดการกองทุนจะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพสูง สามารถสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวได้ และมีสัญญาณอันตราย (Red Flags) ต่ำ
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (ณ 31 มี.ค. 25):
- 3 ปีย้อนหลัง -3.8% ต่อปี
- 5 ปีย้อนหลัง 0.8% ต่อปี
- 10 ปีย้อนหลัง 3.4% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.50%)
5.1 Why Now?
- ภาครัฐมีการออกนโยบายสนับสนุนเพื่อดึงดูดนักลงทุน โดยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของสังคมเมืองที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจ และ World Bank ได้คาดการณ์เศรษฐกิจเวียดนามมีการเติบโตสูงเฉลี่ย 6.8% ต่อปีตั้งแต่ปี 2024-2026 นอกจากนี้ประเทศเวียดนามยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโอกาสเติบโตระยะยาวจากการย้ายฐานการผลิตและโครงสร้างประชากรที่ยังอยู่ในวัยแรงงาน
- รัฐบาลเวียดนามเดินหน้าปรับปรุงโครงสร้างตลาดการเงิน โดยเฉพาะการดำเนินการระบบซื้อขาย KRX ใหม่ รวมถึงการใช้ Non-Prefunding (NPF) และการเตรียมจัดตั้ง Central Counterparty (CCP) เพื่อรองรับการพัฒนาตลาดทุน ซึ่งจะช่วยให้ตลาดหุ้นเวียดนามเข้าใกล้เกณฑ์ของ FTSE มากขึ้น และมีโอกาสในการเติบโตจากประเทศชายขอบ (Frontier Market) สู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ในปี 2025 ซึ่งจะช่วยหนุนเงินทุนต่างชาติไหลเข้าประเทศมากยิ่งขึ้น
- ระดับราคาของหุ้นเวียดนามในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี จึงเป็นโอกาสเข้าสะสมลงทุนในระยะยาว
5.2 Why PRINCIPAL VNEQ-A?
- เน้นลงทุนในหุ้นเวียดนามโดยตรง ซึ่งพอร์ตการลงทุนบริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนประสบการณ์สูงเฉลี่ยกว่า 10 ปี รวม 7 ท่าน และสามารถสื่อสารภาษาเวียดนามได้ จึงทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลในเวียดนามได้โดยตรง รวมถึงการทำ Company Visit บริษัทเวียดนามที่มีการเข้าลงทุน
- มีการคัดเลือกหุ้นโดยวิธี FMV (Fundamental, Momentum, Valuation) และคัดเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีธรรมาภิบาล
- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน (ณ 31 มี.ค. 25):
- 1 ปีย้อนหลัง -10.7%
- 3 ปีย้อนหลัง -4.8% ต่อปี
- 5 ปีย้อนหลัง 16.9% ต่อปี
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.50%)
6.1 Why Now?
- ราคาของสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้มักจะไม่ได้เคลื่อนไหวไปพร้อมกับราคาหุ้นหรือมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม และสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้มักจะมีความความผันผวนที่ต่ำกว่าหุ้น ดังนั้น การแบ่งสัดส่วนการลงทุนมายังตราสารหนี้จะช่วยลดความผันผวน และระดับการขาดทุน (Drawdown) ของพอร์ตการลงทุนได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงที่มีความเสี่ยงจากสงครามการค้า หรือความไม่แน่นอนด้านมาตรการภาษีที่มีแนวโน้มยืดเยื้อออกไป
- การลงทุนในตราสารหนี้ (Fixed Income) เป็นการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยรับในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูงเหนือระดับ 4% จึงยังคงเป็นระดับที่น่าสนใจในการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ เพื่อที่จะสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน
- ประกอบกับธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะช่วยส่งผลให้ตราสารหนี้ได้รับกำไรจากส่วนต่างราคาตราสารหนี้ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น (Capital Gain) ซึ่งเป็นส่วนเสริมในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมนอกเหนือจากดอกเบี้ยที่ได้รับ (Coupon)
6.2 Why UGIS-N?
- กองทุนหลัก PIMCO GIS Income ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลกแบบยืดหยุ่น โดยสามารถกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้หลากหลายประเภท ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนมีอันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยระดับ AA- และมีอายุตราสารเฉลี่ยในพอร์ตการลงทุนประมาณ 3.99 ปี (ณ 28 ก.พ. 25)
- ทีมผู้จัดการกองทุนหลักมีประสบการณ์สูงกว่า 30 ปี มีจุดเด่นด้านกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่น โดยจะผสมผสานการวิเคราะห์เชิง Top-down และ Bottom-up เพื่อเฟ้นหาตราสารหนี้ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับพอร์ตการลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะทำการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดอย่างสม่ำเสมอ
- PIMCO GIS Income มีประวัติการจัดตั้งมาอย่างยาวนาน จึงทำให้กองผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วกับทุกวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยนับตั้งแต่จัดตั้งในปี ค.ศ. 2012 PIMCO GIS Income Fund สามารถสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ย 5.2% ต่อปี (ณ 31 มี.ค. 25)
- เหมาะสำหรับใช้เป็น Core Portfolio สำหรับการลงทุนตราสารหนี้ในระยะยาว (รับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้) เนื่องจากการแบ่งสัดส่วนการลงทุนมายังตราสารหนี้จะช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนได้ โดยกระจายลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง และมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารอย่างใกล้ชิด
- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.00%)
เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บลจ. และบริษัทฯ กำหนด: สำหรับกองทุนที่ร่วมรายการ การแสดงข้อมูลอัตราค่าธรรมเนียมในแอป InnovestX และ Fund Fact Sheet จะยังคงแสดงเป็นค่าธรรมเนียมปกติแต่ในขั้นตอนซื้อผู้ลงทุนจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม Front-end fee แบบอัตโนมัติ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนของกองทุนรวมมีลักษณะเฉพาะ ผู้ลงทุนสามารถขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บล.อินโเวสท์ เอกซ์
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บล.อินโนเวสท์เอกซ์