PDF Available  
Macro Making Sense

Macro Making Sense – 30 พ.ค. 2568

By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์|30 May 25 8:26 AM
สรุปสาระสำคัญ

สรุปประเด็นผลกระทบจากคำสั่งศาลการค้าสหรัฐฯ และแนวโน้มต่อเศรษฐกิจไทย

  • เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US CIT) ได้มีคำตัดสินสำคัญที่ยุติมาตรการภาษีแบบครอบคลุม (Universal and Reciprocal Tariff) รวมถึงภาษีฐาน 10% ที่เรียกเก็บจากแคนาดา จีน และเม็กซิโก ศาลได้ให้เหตุผลว่าอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดีภายใต้กฎหมาย IEEPA (International Emergency Economic Powers Act) ไม่ได้ครอบคลุมถึงการใช้ภาษีเป็นเพียง "เครื่องมือต่อรอง" หรือเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้า เนื่องจากอำนาจในการควบคุมการค้าเป็นของรัฐสภาโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม คำตัดสินนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาษีที่เรียกเก็บภายใต้มาตรา 232 (เช่น เหล็กกล้า อะลูมิเนียม และรถยนต์) หรือมาตรา 301 (การปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม) ดังนั้น ภายใน 10 วันหลังจากนี้ ภาษี universal and reciprocal tariff จะต้องลดลงเหลือ 0% (จนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น)
  • อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ค. ศาลอุทธรณ์ Federal Circuit ออกคำสั่ง “Stay” เปิดทางให้รัฐบาลทรัมป์สามารถ คงการจัดเก็บภาษีเท่าเทียม (Universal) และ ตอบโต้ (Reciprocal) ไว้ได้ หลังจากทำเนียบขาวได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ Federal Circuit แล้ว ซึ่งหมายความว่า ภาษี 10% อาจจะยังคงถูกเรียกเก็บต่อไปในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ ซึ่งอาจใช้เวลา 1.5 ถึง 3 ปี รวมถึงอาจมีการยื่นเรื่องต่อไปถึงศาลฎีกา ได้
  • เรามองว่า ในระยะสั้น กระบวนการด้านตุลาการระหว่างรัฐบาลทรัมป์และฝ่ายต่อต้านจะบรรเทาลง เนื่องจากรัฐบาลสามารถเก็บภาษีตามที่ประกาศต่อไปได้ โดยนับจากปัจจุบัน – 8 ก.ค. 2568 อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐต่อไทยจะอยู่ที่ 10% ขณะที่ หลัง 9 ก.ค. 2568 ภาษีนำเข้าของสหรัฐอาจปรับขึ้นไปที่ 36% หรือคงไว้ที่ 10% ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างทีมเจรจาของไทยและสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในภาพใหญ่ พัฒนาการดังกล่าวเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น เพราะบ่งชี้ว่าปัจจัยเชิงสถาบัน สามารถกดดันมาตรการของรัฐบาลที่อาจกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง
  • สำหรับประเทศไทย การประเมินเศรษฐกิจในปี 2568 ได้ถูกปรับใหม่เป็น 2 กรณี โดยในกรณีฐาน (Base Case: โอกาส 60%) คาดว่าการส่งออกจะหดตัว -3.0% และ GDP เติบโตเพียง 1.4% ในขณะที่กรณีดีที่สุด (Best Case: โอกาส 40%) การส่งออกอาจหดตัวเพียง -0.5% และ GDP เติบโต 1.7% สิ่งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในประมาณการเศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งนี้ เรามองว่า ความมุ่งมั่นของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการใช้มาตรการภาษีในฐานะเครื่องมือต่อรอง จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันหลักต่อการส่งออกและเศรษฐกิจของไทยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป
Author
Slide3
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์

หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5