PDF Available  
Macro Making Sense

Macro Making Sense – 15 พ.ค. 2568

By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์|15 May 25 7:58 AM
สรุปสาระสำคัญ
  • สรุปประเด็น Monetary Policy Forum และเงินเฟ้อสหรัฐขยายตัวต่ำ

  • สรุปประเด็นสำคัญจากการประชุม Monetary Policy Forum 1/2568

  • ธปท. ยังเลือกที่จะรักษา “Policy space” ไว้เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต

  • สรุปประเด็นสำคัญจากการประชุม Monetary Policy Forum 1/2568
  • จากการประชุม Monetary Policy Forum ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยมุมมองที่น่ากังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย โดยประเมินศักยภาพการเติบโตเหลือเพียง 2.5-3% หรือต่ำกว่า 3% เล็กน้อย จากการลงทุนที่ชะลอตัวต่อเนื่องและความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าโลก ทำให้คาดการณ์การเติบโตปีนี้ที่ 2.0% และในกรณีเลวร้ายอาจเหลือเพียง 1.3% แม้จะมีการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนแต่ผลดีต่อเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีเพียง 0.1% ขณะที่ภาคการผลิตไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากสินค้าจีนที่ไหลทะลักเข้ามา
  • นอกจากนี้ ธปท. ยอมรับว่าอัตราเงินเฟ้อจะต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1-3% โดยอยู่ที่ประมาณ 0.5% ในปี 2025 และ 0.2% ในปี 2026 แต่ยังคงให้ความสำคัญกับการรักษา "Policy Space" โดย ดร.ปิติ ดิษยทัต ชี้ว่าการเก็บเครื่องมือทางการเงินไว้รองรับความเสี่ยงในอนาคตอาจเหมาะสมกว่า สะท้อนการให้น้ำหนักกับความเสี่ยงระยะยาวมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบัน
  • ความท้าทายอีกประการคือการส่งผ่านนโยบายการเงินยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร สะท้อนจากสินเชื่อที่ยังหดตัวที่ -0.5% แม้ ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงแล้ว โดยนายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล อธิบายว่าปัญหาอยู่ที่ "Credit Cost" หรือต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ ไม่ใช่ที่ระดับดอกเบี้ย โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจความเสี่ยงสูงอย่าง SMEs ซึ่งอาจต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในรูปแบบการค้ำประกัน
  • ในมุมมองของเรา ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจ ธปท. สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินและผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเศรษฐกิจได้ แต่อาจไม่เลือกทำนโยบายดังกล่าว เราจึงคาดว่า ธปท. จะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยจะลดดอกเบี้ยอีกประมาณ 2 ครั้งในปี 2025 แต่การผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไปและการเก็บ Policy Space ไว้อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไป
  • เงินเฟ้อสหรัฐขยายตัวต่ำกว่าคาดจากพลังงาน คาดจะเร่งตัวขึ้นช่วงปลายปี
  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐฯ ในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% โดยอัตราเงินเฟ้อรายปีลดลงเหลือ 2.3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคงที่ที่ 2.8% การลดลงอย่างมีนัยสำคัญนี้เป็นผลจากหมวด "Food & Transport“ ที่ลดลงจาก 0.86% ในเดือนมกราคมเหลือเพียง 0.16% ในเดือนเมษายน 2025 สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ลดลงเหลือประมาณ 64.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับ 90.84 ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • อย่างไรก็ตาม บางหมวดหมู่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์ เช่น ราคาอุปกรณ์เครื่องเสียงเพิ่มขึ้น 8.8% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่ราคาสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตลดลง 0.4% และราคาไข่ลดลง 12.7% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1984
  • เรามองว่าในระยะต่อไปมีปัจจัยที่ต้องจับตา 3 ประการ คือ (1) ต้นทุนที่อยู่อาศัยที่ยังคงสูงที่ 1.76% และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่กดดันเงินเฟ้อโดยรวม (2) การส่งผ่านต้นทุนภาษีนำเข้าสู่ผู้บริโภคจะเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากในระยะแรกหลายบริษัทชะลอการผลักภาระต้นทุน และได้เร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ และ (3) ฐานที่ใช้เปรียบเทียบในช่วงปลายปี 2025 จะต่ำลงเนื่องจากราคาน้ำมันในปี 2024 เริ่มลดลงในช่วงปลายปี ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อรายปีปรับตัวสูงขึ้น
  • ด้วยปัจจัยเหล่านี้ เราคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นเป็น 3.6% ในช่วงปลายปี ทำให้ Fed มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมตลอดปีนี้ หากนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ยังคงดำเนินต่อไปและส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าในวงกว้าง
  •  
Author
Slide3
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์

หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5