สวัสดีตอนเช้า - 21 ม.ค. 2568

ผันผวนในกรอบ 1330-1350 จุด

 

ประเด็นสำคัญ

• ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของปธน. ทรัมป์ ได้กล่าวถึงนโยบายต่างๆ ที่จะทำ เช่น ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานและลดราคาพลังงานในประเทศ, การเก็บภาษีอากรจากต่างประเทศ, ยกเลิกนโยบายส่งเสริมการผลิต EV เป็นต้น
• ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 90.1 ลดลงจาก พ.ย. ที่ 91.4 เนื่องจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอลงจากการเร่งผลิตเมื่อเดือน พ.ย. และเดือน ธ.ค. มีวันทำงานน้อย รวมทั้งน้ำท่วม และสภาพอากาศแปรปรวนในภาคใต้ยังไม่คลี่คลาย
• ททท. ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอเลิกวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวจีน ด้านผู้ประกอบการเสนอลดวันพักลงจากเดิม 60 วัน เป็น 10-15 วัน คาดนักท่องเที่ยวจีนปี 2568 อยู่ที่ 8 ล้านคน จากปีก่อนที่ 6.73 ล้านคน
• กระทรวงพาณิชย์เผย 29 กลุ่มสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงอาจถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษี ขณะที่สหรัฐฯ กำลังจับตาประเทศที่มีกลุ่มทุนจีนเข้าไปลงทุนเพื่อตั้งฐานการผลิตเพื่อเลี่ยงสงครามการค้า
• ผู้ว่า ธปท. คนปัจจุบันจะครบวาระในวันที่ 30 ก.ย. นี้และกระบวนการสรรหาจะต้องเริ่มภายใน 90 วันก่อนวันครบวาระ รมว. คลังเผยว่าต้องการผู้ว่า ธปท. ที่เป็นคนรุ่นใหม่และมีมุมมองไปข้างหน้า
• นายกฯ และคณะเดินทางร่วมประชุม World Economic Forum ที่เมือง Davos ระหว่างวันที่ 20-25 ม.ค. นี้ โดยมีเป้าหมายใช้เวทีดังกล่าวดึงดูดการลงทุนจากอุตสาหกรรมชั้นนำและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ
• EU ประกาศเลื่อนบังคับใช้มาตรการสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าออกไป 12 เดือน ส่งผลให้บริษัทรายใหญ่มีเวลาเตรียมพร้อมก่อนวันที่ 30 ธ.ค. 2568 และ SMEs มีเวลาก่อนวันที่ 30 มิ.ย. 2569

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET มีแนวโน้มฟื้นตัวในกรอบแคบ โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1400 จุด ทั้งนี้แม้มองปัจจัยภายนอกจากภาพเศรษฐกิจและแนวโน้มดอกเบี้ยมีท่าทีดีขึ้น รวมถึงผลประกอบการ 4Q67 ของ บจ. ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มออกมาแข็งแกร่ง และท่าทีของว่าที่ ปธน. สหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังทำให้ตลาดคลายกังวลได้ในระดับนึง แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยภายในประเทศ (นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ) ยังมีแนวโน้มเปราะบางจากการขาดความเชื่อมั่นด้านการลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าตลาดหุ้นในต่างประเทศ อีกทั้งกระแสเงินของนักลงทุนต่างชาติยังไม่มีสัญญาณกลับมาซื้อหุ้นไทยอย่างมีนัยฯ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

 

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

มอง SET มีโอกาสฟื้นแต่ภาพรวมยังเปราะบางหลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้

1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีน อีกทั้งมาตรการกระตุ้นการบริโภคจะเริ่มมีผลบังคับใช้ เช่น นำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 68 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุในวันที่ 27 ม.ค. นี้ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT AOT) กลุ่มเนื้อสัตว์ (CPF BTG)
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน แนะนำ AP KTB BBL PTT
3. หุ้น Earning Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA AWC AU
4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรในหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก หลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรรัสเซียกระทบอุปทานน้ำมัน เลือก PTTEP

 

Daily top picks

BBL: Valuation ถูกที่สุดในกลุ่ม ซื้อขายด้วย PER และ PBV ปี 2568F ต่ำสุดที่ 6.2x (ค่าเฉลี่ยกลุ่ม 8x) และ 0.48x (ค่าเฉลี่ยกลุ่ม 0.8x) ตามลำดับ ความเสี่ยงคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุดในกลุ่ม คาดกำไรปี 2567 เติบโต 7%YoY และเติบโตต่อ 3%YoY ในปี 2568 หนุนจาก Credit Cost ลดลง, NIM และสินเชื่อขยายตัวดี และสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลง 

 

ADVANC: หุ้น Defensive ซึ่งกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง โดย 4Q67 คาดมีกำไรปกติ 8.7 พันลบ. เติบโต 23%YoY และ 3%QoQ แรงหนุนจากรายได้การให้บริการหลักที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและการควบคุมต้นทุนที่ดี ส่งผลให้ปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 3.43 หมื่นลบ. เติบโต 20%YoY (สูงกว่าประมาณการของเรา 8.5%) และมองประมาณการกำไรปี 2568 ของเราอาจมี Upside    

 

 

To move between 1330-1350

The SET is expected to move between 1330-1350. Baht appreciation is expected to reduce pressure on fund outflow, and support at 1330 is expected to able to stand. The market is concerned about Trump’s trade policy and lacks a new catalyst, limiting the upper bound at 1350.

 

Today’s highlights

• In Trump's inauguration speech, he mentioned various policies he would implement, such as declaring an energy emergency and reducing domestic energy prices, imposing foreign tariffs and canceling EV production promotion policies, among others.
• The FTI reports the December Industrial Confidence Index at 90.1, down from 91.4 in November, due to slowing industrial production following November's acceleration, fewer working days in December, flooding and unstable weather conditions in the South.
• The TAT disagrees with the proposal to end visa-free entry for Chinese tourists. Industry operators suggest reducing the stay period from 60 days to 10-15 days. Chinese tourist arrivals in 2025 are expected to reach 8mn, up from 6.73mn in 2024.
• The Ministry of Commerce says 29 Thai product groups are at risk of facing US tariff measures, with the US monitoring countries where Chinese investment has set up production bases to circumvent trade war restrictions.
• The current BoT Governor's term will end on September 30, and the selection process must begin 90 days before the term ends. The Minister of Finance expressed desire for a new governor who is younger and more forward-thinking.
• The PM and delegation are attending the World Economic Forum in Davos during January 20-25, aiming to use this platform to attract investment from leading industries and create new economic opportunities.
• The EU announced a 12-month postponement of implementing measures for deforestation-free products, giving large companies until December 30, 2025, and SMEs until June 30, 2026, to prepare.
  
  

Strategy today

In the short term, the SET is expected to move little, with significant resistance around 1400. External factors in terms of the economy and interest rate seem better, including strong 4Q24 earnings at US companies and Trump’s toning down on his trade policy, allowing the market to relax. However, domestic factors (apart from the government’s stimulus packages) are fragile from lack of confidence, causing market recovery to lag others in the region, while there is no significant sign of foreign fund flow returning to buy Thai equities. Investment strategy is "Selective Buy".

 

Trading today

The SET is expected to recover but overall is still fragile with no new catalyst. Investment strategy is "Selective Buy" across three themes with positive individual factors and one short-term trading idea:

• Stocks expected to benefit from shopping around Chinese New Year and from stimulus - Easy e-Receipt (Jan 16–Feb 28) and Bt10,000 handout on Jan 27 – Commerce (CRC, HMPRO, CPALL and TNP), Consumer goods (CBG and OSP), Tourism (MINT and AOT) and Food (CPF and BTG).
• For investors wishing to generate cash flow for their portfolios: stocks offering high dividend yield of over 3% on 2024 earnings, with strong balance sheets and continued growth in 2025 – AP, KTB, BBL and PTT.
• Earnings plays whose prices have not risen to reflect YoY and QoQ growth in 4Q24 profit and may pay regular dividends – ADVANC, TRUE, AMATA, AWC and AU.
• Trading idea for high-risk investors: speculate on stocks expected to benefit from higher oil price after the US announced a new round of sanctions on Russia, impacting world oil supply – PTTEP.

 

Daily top picks

BBL: This is the most attractive among banks, trading at 2025 PER of 6.2x (peers are at 8.0x) and PBV of 0.48x (peers are at 0.8x). Asset quality risk is also the lowest among peers. 2024 profit is expected to grow 7%, followed by 3% growth in 2025 on lower credit cost and cost-to-income ratio and higher NIM and loans.

ADVANC: A defensive stock. 4Q24 core profit is expected to grow 23%YoY and 3%QoQ to Bt8.7bn, driven by growing service-related revenue and expense control. 2024 core profit is expected to be Bt34.3bn, growing 20% (8.5% above our estimate), while there may be upside to our 2025 outlook.

Download EN version click >> Daily250121_E.pdf