Derivatives

[ไฮไลต์เนื้อหา TFEX Trader Camp รุ่นที่ 6]: Session 2 Single Stock Futures(SSF) Block Trade เครื่องมือเสริมกำไรนักลงทุน

24 Nov 25 1:54 PM
รู้จักผลิตภัณฑ์ลงทุน3
สรุปสาระสำคัญ

ถ้าคุณเคยได้ยินคำว่า SSF หรือ Block Trade แต่อาจยังไม่ชัดว่ามันคืออะไร ใช้ยังไง และเสี่ยงแค่ไหน บทความนี้จะสรุปเนื้อหาของ Session 2 Single Stock futures(SSF) Block Trade โดยปูพื้นฐานให้รู้จัก Single Stock Futures  และ ว่าเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงหุ้นรายตัว เปิดได้ทั้ง Long และ Short ใช้ Leverage ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียงส่วนหนึ่ง ไปจนถึงการใช้ Block Trade เป็นเครื่องมือเปิดสถานะขนาดใหญ่โดยมีโบรกเกอร์เป็นคู่สัญญา พร้อมอธิบายเรื่องหลักประกัน 3 ระดับ ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องรู้ และแนวทางบริหารความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ เพื่อให้นักลงทุนมองเห็นทั้งโอกาส และข้อควรระวังก่อนเริ่มใช้ SSF Block Trade จริง

 

 ความเข้าใจพื้นฐาน: Single Stock Futures (SSF) คืออะไร?

Single Stock Futures (SSF) คือ "สัญญาซื้อขายล่วงหน้า" ที่มี "หุ้นสามัญรายตัว" ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นสินค้าอ้างอิง

 

ความหมายของ "สัญญาซื้อขายล่วงหน้า"

- สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contract) คือ ข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง(หุ้น)ในปริมาณ ราคา และวันเวลาที่กำหนดไว้ในอนาคต

- ลักษณะสำคัญ: ผู้ลงทุนไม่ได้ซื้อขายหรือถือครอง "หุ้นจริง" แต่กำลังซื้อขาย "สัญญาซื้อ/ขายล่วงหน้า" ที่จะซื้อหรือขายหุ้นนั้นในอนาคต

 

 คุณสมบัติของสัญญา Single Stock Futures SSF

  • หุ้นอ้างอิง: ปัจจุบันมีให้เลือกลงทุนมากกว่า 120 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงและมีมูลค่าตลาดใหญ่ (เช่น PTT, KBANK, AOT, SCB)
  • ขนาดสัญญา (Contract Size): 1 สัญญา SSF จะมีมูลค่าเท่ากับหุ้นสามัญ 1,000 หุ้น (ยกเว้นมีการปรับขนาดสัญญาเนื่องจาก Corporate Action เช่น การจ่ายหุ้นปันผล)
  • การชำระราคา: สัญญา SSF มีการชำระราคาเป็น เงินสด (Cash Settlement) เท่านั้น เมื่อสัญญาหมดอายุหรือถูกปิดสถานะ จะมีการคำนวณกำไร/ขาดทุนและโอนเป็นเงินสดเข้าบัญชีทันที โดยไม่มีการส่งมอบหุ้นจริง

 

 ทำไม SSF ถึงเป็นเครื่องมือที่ "น่าสนใจ"

SSF มีจุดเด่นหลัก 3 ประการที่ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นและโอกาสทำกำไรสูง:

 

1. โอกาสทำกำไรได้ทั้ง "ขาขึ้น" และ "ขาลง" (Speculation)

 

การลงทุนใน SSF เปิดโอกาสให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะตลาด:

  • Long Position (เปิด Long): หากคาดว่าราคาหุ้นจะ ขึ้น ผู้ลงทุนจะ ซื้อ สัญญา SSF (เปิด Long) และเมื่อราคาขึ้นตามที่คาดหวัง ก็จะ ขาย สัญญาออกไป (ปิด Long) เพื่อทำกำไร
  • Short Position (เปิด Short): หากคาดว่าราคาหุ้นจะ ลง ผู้ลงทุนสามารถ ขาย สัญญา SSF (เปิด Short) ได้ทันที โดยที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องมีหุ้นตัวนั้นมาก่อน และเมื่อราคาลงตามที่คาดหวัง ก็จะ ซื้อ คืน (ปิด Short) เพื่อทำกำไร ซึ่งต่างจากการขายชอร์ต (Short Sell) ในตลาดหุ้นปกติที่มีข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่ามาก

 

2. อำนาจการลงทุนที่สูงกว่า (Leverage)

 

SSF ใช้กลไก "อัตราทด (Leverage)" ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนใช้เงินทุนเริ่มต้นเพียงส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมมูลค่าสินทรัพย์ขนาดใหญ่ได้

  • การทำงาน: ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนของมูลค่าสัญญา แต่ใช้การวาง หลักประกันเริ่มต้น (Initial Margin: IM) ซึ่งมักจะอยู่ประมาณ 5-20% ของมูลค่าสัญญาเท่านั้น( IM จะมีการเปลี่ยนแปลงตามความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิงตามรอบการประกาศจาก TCH

 

ตัวอย่างการเปรียบเทียบ  สมมติราคาหุ้น AOT คือ 70 บาท

ซื้อหุ้นจริง 1,000 หุ้น: ต้องใช้เงิน 70,000 บาท

เปิด SSF 1 สัญญา (เทียบเท่า 1,000 หุ้น): ต้องวางหลักประกัน (IM) ประมาณ 5,000 - 8,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประกาศ TCH)

ผลลัพธ์: เมื่อราคาหุ้นขึ้น 10% (จาก 70 เป็น 77 บาท) กำไรคือ 7,000 บาทเท่ากัน แต่ผลตอบแทนที่คำนวณจากเงินทุนเริ่มต้นของ Single Stock Futures(SSF) จะสูงกว่าการซื้อหุ้นจริงหลายเท่า อย่างไรก็ตาม Leverage ก็เพิ่มความเสี่ยงในการ ขาดทุนสูงขึ้นตามไปด้วย

 

3. การบริหารความเสี่ยง (Hedging)

 

SSF เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ถือครองอยู่ โดยไม่ต้องขายหุ้นนั้นออกไป:

สถานการณ์: นักลงทุนมีหุ้น A ที่มีกำไรอยู่แล้ว แต่คาดการณ์ว่าตลาดอาจมีการปรับฐานลงในระยะสั้น

 

การป้องกันความเสี่ยง: แทนที่จะขายหุ้น A ทิ้ง (ซึ่งอาจต้องเสียภาษีหรือค่าธรรมเนียมหลายครั้ง) นักลงทุนสามารถ เปิด Short SSF ของหุ้น A ในจำนวนสัญญาที่เท่ากันกับหุ้นที่ถืออยู่

 

ผลลัพธ์: หากราคาหุ้น A ปรับตัวลงจริง การขาดทุนจากมูลค่าหุ้นที่ถือจะถูกชดเชยด้วยกำไรที่ได้จากสถานะ Short SSF ทำให้กำไรโดยรวมในพอร์ตยังคงรักษาระดับไว้ได้

 

Block Trade คืออะไร และทำไมถึงเป็นเครื่องมือของนักลงทุนรายใหญ่?

Block Trade คือ บริการซื้อขาย SSF ในปริมาณที่มากเป็นพิเศษ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เข้ามาเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับนักลงทุน

 

 กลไกการทำงานของ Block Trade

โดยปกติการซื้อขาย SSF ทั่วไปจะทำผ่านระบบซื้อขายอัตโนมัติ (Automated Order Matching: AOM) ของตลาดอนุพันธ์ (TFEX) แต่เมื่อต้องการซื้อขายในปริมาณมาก (เช่น 100 สัญญาขึ้นไป) อาจเกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่อง (Liquidity) หรือทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง

  • โบรกเกอร์เป็นคู่สัญญา: ในบริการ Block Trade โบรกเกอร์จะเข้ามาเป็นคู่สัญญาซื้อขาย SSF ให้กับนักลงทุนตามราคาที่ตกลงกัน (อ้างอิงจากราคาหุ้นในตลาดจริง)
  • การส่งคำสั่ง: คำสั่งจะถูกบันทึกเข้าสู่ระบบของ TFEX แบบ Put Through หรือการซื้อขายระหว่างสมาชิก (ไม่ใช่การซื้อขายแบบจับคู่ในกระดานปกติ)
  • ข้อดี:
    1. ได้ราคาที่แน่นอน: นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่าจะสามารถเปิดหรือปิดสถานะในปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว โดยได้ราคาตามที่ตกลงกับโบรกเกอร์ โดยไม่ทำให้ราคาตลาดเกิดความผันผวน(ความผันผวนของราคาจะอิงตามปริมาณการซื้อขายหุ้นสามัญ)
    2. ความยืดหยุ่น: ช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนและบริหารจัดการการลงทุนขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 การบริหารความเสี่ยง: หลักประกัน 3 ระดับที่ต้องรู้

เนื่องจาก SSF มีการใช้ Leverage นักลงทุนจึงต้องทำความเข้าใจเรื่องหลักประกัน (Margin) เพื่อบริหารความเสี่ยง

ระดับของหลักประกัน (Margin)

ระดับเงินที่ต้องวาง

ความหมายและการทำงาน

ผลที่ตามมา

 หลักประกันเริ่มต้น (Initial Margin: IM)

100% ของ IM

เงินขั้นต่ำที่ผู้ลงทุนต้องมีในบัญชีอนุพันธ์เพื่อใช้ เปิด สถานะสัญญา SSF

หากมีเงินหลักประกันต่ำกว่า IM จะไม่สามารถเปิดสัญญาเพิ่มได้

หลักประกันรักษาสภาพ

(Maintenance Margin: MM)

70% ของ IM

ระดับเงินประกันขั้นต่ำที่ต้องรักษาไว้ ตลอดเวลา ที่ถือสัญญา

หากมูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับ MM จะถูก Margin Call (ถูกเรียกให้วางเงินเพิ่ม)

 หลักประกันปิดสถานะ (Force Close Margin: FM)

30% ของ IM

ระดับเงินประกันวิกฤตที่ต้องมีในบัญชี

หากถูก Margin Call แล้วไม่นำเงินมาวางเพิ่มภายในระยะเวลาที่กำหนด จะถูก บังคับปิดสถานะ (Force Close) บางส่วนหรือทั้งหมดเพื่อป้องกันความเสียหายที่มากขึ้น

 

หลักการสำคัญ: หากราคาหุ้นเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้จนทำให้เงินในบัญชีลดลงต่ำกว่า MM นักลงทุนจะต้องเติมเงินเพื่อให้หลักประกันกลับไปอยู่ที่ระดับ IM หรือสูงกว่า เพื่อรักษาสถานะสัญญาไว้ได้

 

ความเสี่ยงที่ต้องระวัง และการบริหารความเสี่ยง (Risk Management)

 

แม้ว่า SSF Block Trade จะเป็นเครื่องมือที่ให้โอกาสในการทำกำไรสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน นักลงทุนจึงควรตระหนัก และมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม

 

ความเสี่ยงหลักที่ต้องระวัง

ความเสี่ยงจากการใช้ Leverage (Leverage Risk):

อัตราทด (Leverage) เป็นเหมือนดาบสองคม ในขณะที่มันเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มาก แต่ก็เพิ่มโอกาสในการขาดทุนได้มากเช่นกัน

การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเพียงเล็กน้อยในทิศทางตรงกันข้าม อาจทำให้เงินหลักประกันของผู้ลงทุนลดลงอย่างรวดเร็วและนำไปสู่การถูก Margin Call (ถูกเรียกให้วางเงินเพิ่ม)

 

ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk):

แม้ว่า Block Trade จะช่วยจัดการสภาพคล่องในการเข้าและออกสถานะปริมาณมากได้ แต่สำหรับ SSF บางตัวที่มีการซื้อขายไม่มากพอ (สภาพคล่องต่ำ) ในตลาดปกติ อาจทำให้เกิดปัญหาในการปิดสถานะได้ หากไม่ได้ทำธุรกรรมผ่าน Block Trade

 

ความเสี่ยงจากราคาตลาด (Market Risk):

เป็นความเสี่ยงหลักที่เกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง (เช่น จากข่าวสำคัญ) และเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนในปริมาณมากได้

 

ความเสี่ยงด้านหลักประกัน (Margin Risk/Margin Call Risk):

หากมูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับ Maintenance Margin (MM) นักลงทุนมีภาระผูกพันที่จะต้องนำเงินมาวางเพิ่มให้กลับสู่ระดับ Initial Margin (IM) ภายในเวลาที่กำหนด หากไม่ดำเนินการ อาจถูกบริษัทหลักทรัพย์บังคับปิดสถานะ (Force Close) เพื่อลดความเสียหาย

 

 แนวทางการบริหารความเสี่ยงเบื้องต้น (Risk Management)

กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss):

เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการซื้อขายด้วย Leverage นักลงทุนควรตั้งราคาหรือระดับ % การขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้ และพร้อมที่จะปิดสถานะทันทีเมื่อราคาถึงจุดนั้น เพื่อควบคุมการขาดทุนไม่ให้บานปลาย

 

จำกัดการใช้ Leverage ที่เหมาะสม:

ไม่ควรใช้ Leverage เต็มจำนวนที่โบรกเกอร์อนุญาต ควรแบ่งเงินทุนสำรองไว้ในบัญชีมากกว่าระดับ Initial Margin มากพอสมควร เพื่อรองรับการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ และลดโอกาสถูก Margin Call

 

ติดตามข่าวสารและวันหมดอายุสัญญา:

ต้องติดตามข่าวสารของหุ้นอ้างอิงอย่างใกล้ชิด และอย่าลืมวันหมดอายุของสัญญา (Expiry Date) เพื่อจัดการปิดหรือย้ายสัญญาไปยังเดือนถัดไป (Roll Over) ได้ทันเวลา

 

Key Takeaways

 

SSF Block Trade เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจกลไก และพร้อมรับความเสี่ยง โดยมีประโยชน์หลักคือการใช้ Leverage เพื่อเพิ่มอำนาจการลงทุน และการทำ Short Selling เพื่อเก็งกำไรในตลาดขาลง หรือใช้เป็นกลยุทธ์ Hedging เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นที่ถือครองอยู่ อย่างไรก็ตาม กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการใช้ SSF คือ วินัยในการบริหารเงินหลักประกัน (Margin) และการกำหนด จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างชัดเจน เพื่อให้เครื่องมือนี้เป็นตัวช่วยเสริมกำไรได้อย่างยั่งยืนและปลอดภัย

 

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน US Futures and Options มีความเสี่ยงสูงที่อาจก่อให้เกิดผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจึงไม่เหมาะสมกับทุกคน การซื้อขาย Options ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงที่มูลค่าสัญญาจะลดลงตามเวลา (Time decay) ความเสี่ยงที่ท่านอาจสูญเสียเงินที่จ่ายเพื่อซื้อสิทธิ์ในตอนแรก (ค่าพรีเมียม) ทั้งหมด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5