
ถ้าคุณเคยได้ยินคำว่า “ฟิวเจอร์ส” หรือ “ออปชัน” แต่ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไร ใช้ยังไง และเสี่ยงแค่ไหน บทความนี้จะสรุปเนื้อหาของ Session 1 : พื้นฐาน Futures & Options : เปิดโลกอนุพันธ์ เข้าใจ Futures & Options จากโครงการ TFEX Trader Camp รุ่นที่ 6 จะชวนคุณค่อย ๆ ทำความรู้จักตั้งแต่พื้นฐาน เริ่มจาก Futures ว่าคือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ใช้เงินลงทุนน้อยแต่มี Leverage สูง สามารถทำกำไรได้ทั้งตอนตลาดขึ้น และลง รวมถึงความเข้าใจเรื่องของมาร์จิ้น และระบบ Mark-to-Market ผ่านตัวอย่างสินค้ายอดนิยมใน TFEX อย่าง SET50 จากนั้นต่อด้วย Long Options ในมุม “สิทธิ ไม่ใช่ภาระ” อธิบายให้เห็นว่าใช้ทั้งเพื่อเก็งกำไร และป้องกันความเสี่ยงพอร์ตได้อย่างไร ก่อนจะสรุปหลักคิดเรื่องแผนการเทรด วินัย Stop Loss และการบริหารเงินทุน ที่เป็นหัวใจของการอยู่รอดในตลาดอนุพันธ์ระยะยาว
Futures คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงที่จะซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ในปริมาณ ราคา และวันหมดอายุที่กำหนดไว้ล่วงหน้า Futures เป็นหนึ่งในเครื่องมืออนุพันธ์ (Derivatives) ที่มีจุดเด่นคือการใช้เงินลงทุนน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าสัญญาจริง (มี Leverage หรืออัตราทด) และสามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง
จุดเด่น
- ใช้เงินลงทุนน้อย (Leverage): ผู้ลงทุนวางเพียงหลักประกัน (Margin) ซึ่งเป็นสัดส่วนเล็กน้อยของมูลค่าสัญญา ทำให้เกิดอัตราทดหรือ Leverage
Leverage คือ อัตราส่วนระหว่างมูลค่าสัญญา (Notional Value) กับเงินหลักประกันเริ่มต้น (Initial Margin - IM) เช่น หาก Leverage คือ 10 เท่า หมายความว่ากำไร/ขาดทุนจะถูกทวีคูณเป็น 10 เท่าของราคาที่เปลี่ยนแปลงตามปกติ
ทำกำไรได้สองทาง:
- Long (ซื้อ): เปิดสถานะเมื่อคาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ เพิ่มขึ้น (Open Long)
- Short (ขาย): เปิดสถานะเมื่อคาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ ลดลง (Open Short)
การปิดสถานะ:
- ปิดสถานะ Long ด้วยการขาย (Short Close)
- ปิดสถานะ Short ด้วยการซื้อ (Long Close)
ใช้ป้องกันความเสี่ยง (Hedging):
สามารถใช้ Futures ในการป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเดียวกันได้ เช่น ถือหุ้นในพอร์ตแล้วคาดว่าตลาดจะลงในระยะสั้น ก็สามารถ Short Index Futures เพื่อชดเชยผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตหุ้นได้
ความเสี่ยง
เป็นภาระหน้าที่ (Obligations)ของผู้ซื้อ และผู้ขาย: เป็นข้อผูกมัดที่ผู้ถือสัญญาจะต้องทำตามข้อตกลงในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันที่กำหนด
สัญญาฟิวเจอร์ส (Futures)มีการซื้อขายโดยใช้ระบบหลักประกัน (Margin System) และมีการปรับมูลค่าหลักประกันรายวัน (Mark-to-Market)
- หลักประกันเริ่มต้น (Initial Margin - IM): เงินที่ต้องวางไว้เพื่อเปิดสัญญา
- หลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin - MM): หากเงินหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับนี้ ผู้ลงทุนจะถูกเรียกให้เติมเงิน (Margin Call) เพื่อให้กลับไปเท่ากับ IM
- หลักประกันบังคับปิดสถานะ (Force Close Margin): หากเงินหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับนี้ และไม่เติมเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด สัญญาจะถูกบังคับปิดโดยอัตโนมัติ (Force Sell/Force Close)
- การ Mark-to-Market: ตลาดจะประเมินสถานะกำไร/ขาดทุนตามราคาตลาด ณ สิ้นวัน หากขาดทุนจนหลักประกันต่ำกว่า MM จะต้องเติมเงิน
สินค้า Futures ใน TFEX แบ่งเป็น 5 กลุ่ม แต่ที่นักลงทุนซื้อขายมากที่สุดมี 3 กลุ่มหลัก :
|
กลุ่มสินค้า |
สินค้ายอดนิยม |
รายละเอียด |
|
ตราสารทุน (Equity) |
Set 50 Futures (S50)
|
อ้างอิงดัชนี SET50 (หุ้นชั้นนำ 50 ตัว) ใช้เงินหลักประกันเริ่มต้น (IM) ประมาณ 10,000 บาท* Leverage ประมาณ 16-17 เท่า
|
|
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) |
Gold Online Futures (GO)
|
อ้างอิงราคาทองคำในตลาดโลก (USD/Ounce) ไม่ต้องคำนึงถึงอัตราแลกเปลี่ยน IM ประมาณ 46,000 บาท* Leverage ประมาณ 24 เท่า สภาพคล่องสูง
|
|
|
Silver Online Futures (SV)
|
อ้างอิงราคาโลหะเงิน IM ประมาณ 10,000 บาท* Leverage ประมาณ 13 เท่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อ-ขายสินค้าประเภท Precious Metal แต่ใช้เงินประกันเริ่มต้นน้อยกว่าทองคำ
|
|
อัตราแลกเปลี่ยน (Currency) |
USD Futures (USD)
|
อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB ใช้เงินหลักประกันเริ่มต้นน้อยที่สุด (ไม่ถึง 1,000 บาท*) Leverage สูงประมาณ 30 เท่า เหมาะสำหรับเก็งกำไรค่าเงิน หรือ Hedging สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจนำเข้า/ส่งออก หรือลงทุนต่างประเทศ
|
*หมายเหตุ: เงินหลักประกันเริ่มต้นสามารถเปลี่ยนแปลงปรับขึ้นลงได้(ตามประกาศซึ่งจะปรับเปลี่ยนตามความผันผวนของราคาสินค้าอ้างอิง
Options คือ สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคา และวันหมดอายุที่กำหนด Options มีลักษณะคล้ายกับการ ซื้อ/ขายประกัน พอร์ตการลงทุน
- เป็นสิทธิ (Right): ผู้ซื้อ Options มี "สิทธิ" ที่จะใช้หรือไม่ใช้สิทธิก็ได้
- จำกัดความเสี่ยง (Limited Loss): หากผู้ซื้อ (Long Options) คาดการณ์ผิดทาง จะขาดทุนสูงสุดเพียงแค่ ค่าพรีเมียม (Premium) ที่จ่ายไปเท่านั้น (เสมือนค่าเบี้ยประกัน)
- กำไรไม่จำกัด (Unlimited Profit): หากผู้ซื้อ (Long Options) คาดการณ์ถูกทาง โอกาสในการทำกำไรไม่จำกัด
- Premium (ค่าพรีเมียม): คือ ราคาของ Options ที่ผู้ซื้อจ่ายให้ผู้ขายเพื่อแลกกับสิทธิในการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงตามราคาใช้สิทธิ ณ วันที่กำหนด
Options มี 2 ประเภทหลัก:
|
ประเภท |
สิทธิที่ได้รับ |
สถานะตลาดที่คาดการณ์ |
|
Call Options (C)
|
สิทธิในการ "ซื้อ" สินทรัพย์อ้างอิง |
คาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ ขึ้น (Long Call)
|
|
Put Options (P)
|
สิทธิในการ "ขาย" สินทรัพย์อ้างอิง |
คาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ ลง (Long Put)
|
- Long Call Options: ใช้ในการเก็งกำไรเมื่อคาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้น โดยใช้เงินทุนน้อยกว่าการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง
- Long Put Options (Protective Put): ใช้ในการป้องกันความเสี่ยงของพอร์ต (คล้ายการซื้อประกัน) หากตลาดลง พอร์ตขาดทุน แต่กำไรจาก Put Options จะช่วยชดเชยขาดทุนจากพอร์ตได้
Long Call Options:
ซื้อ Call Options ที่ราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price) 800 จุด และจ่ายค่าพรีเมียม 20 จุด จุดคุ้มทุนคือ 800 + 20 = 820 จุด หากดัชนี SET50 ขึ้นเกิน 820 จุด ผู้ซื้อจะได้กำไร
Long Put Options:
ซื้อ Put Options ที่ราคาใช้สิทธิ์ 820 จุด และจ่ายค่าพรีเมียม 20 จุด จุดคุ้มทุนคือ 820 - 20 = 800 จุด หากดัชนี SET50 ลงต่ำกว่า 800 จุด ผู้ซื้อจะได้กำไร

SET50 Options :
- Underlying Asset: ดัชนี SET50 Index
- ประเภทสิทธิ์: สิทธิ์แบบ European Style (ใช้สิทธิ์ได้เฉพาะวันหมดอายุเท่านั้น)
- การชำระเงิน: ชำระเป็นเงินบาท
- เงินเริ่มต้น: ใช้เงินค่าพรีเมียม เริ่มต้นที่หลักร้อยถึงหลักพันบาท
US Options :
- Underlying Asset: หุ้นรายตัวและ ETF ในตลาดสหรัฐฯ (มีมากกว่า 2,000 ตัว)
- ประเภทสิทธิ์: สิทธิ์แบบ American Style (ใช้สิทธิ์ได้ทุกวันจนถึงวันหมดอายุ)
- การชำระเงิน: สามารถเลือกชำระเป็นเงินสดหรือเป็นหุ้นได้
การเทรด Futures และ Options มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมี Leverage ดังนั้น การมีหลักการและวินัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ
Disclaimer : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน US Futures and Options มีความเสี่ยงสูงที่อาจก่อให้เกิดผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจึงไม่เหมาะสมกับทุกคน การซื้อขาย Options ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงที่มูลค่าสัญญาจะลดลงตามเวลา (Time decay) ความเสี่ยงที่ท่านอาจสูญเสียเงินที่จ่ายเพื่อซื้อสิทธิ์ในตอนแรก (ค่าพรีเมียม) ทั้งหมด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน