ETF คือกองทุนที่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น โดยให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการลงทุนในหุ้นเดี่ยว ตลาดสหรัฐฯเป็นตลาด ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีให้เลือกมากกว่า 2,000 กองทุน ครอบคลุมทั้งดัชนีหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และสินค้าโภคภัณฑ์ มีจุดเด่นคือต้นทุนต่ำ สภาพคล่องสูง และความโปร่งใส แม้มีข้อควรระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและความเข้าใจในดัชนีอ้างอิง นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มของ บล.InnovestX ที่มีบริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศแบบเรียลไทม์
ETF (Exchange-Traded Fund) คือกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นทั่วไป โดยมีการบริหารจัดการให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง เช่น ดัชนีหุ้น, พันธบัตร, สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสินทรัพย์อื่นๆ จุดเด่นของ ETF คือการกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการลงทุนในหุ้นรายตัว ด้วยเงินลงทุนที่น้อยกว่า และค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป ปัจจุบันตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาด ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มี ETF ให้เลือกลงทุนมากกว่า 2,000 กองทุน ครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์ ทั้งดัชนีหุ้น, พันธบัตร, อสังหาริมทรัพย์, สินค้าโภคภัณฑ์ และอื่นๆ คิดเป็นมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ETF ชั้นนำในตลาดสหรัฐฯ ที่นักลงทุนควรรู้จัก เพื่อให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนพอร์ต มีหลากหลายประเภทตามดัชนีและสินทรัพย์อ้างอิง ตัวอย่างเช่น
1. ETF อิงดัชนีหุ้นสหรัฐฯ:
o SPY (SPDR S&P 500 ETF Trust) - อ้างอิงดัชนี S&P 500 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐฯ
o QQQ (Invesco QQQ Trust) - อ้างอิงดัชนี Nasdaq-100 เน้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ศักยภาพสูง
o DIA (SPDR Dow Jones Industrial Average ETF) - อ้างอิงดัชนี Dow Jones Industrial Average ซึ่งเป็นดัชนีเก่าแก่ของสหรัฐฯ
2. ETF รายอุตสาหกรรม:
o XLK (Technology Select Sector SPDR Fund) - ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ในดัชนี S&P 500 เช่น Apple, Microsoft, Nvidia และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐฯ อื่นๆ
o XLF (Financial Select Sector SPDR Fund) - ลงทุนในบริษัทในกลุ่มการเงินในสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ในดัชนี S&P 500 เช่น ธนาคารขนาดใหญ่ บริษัทประกันภัย และบริษัทบริการทางการเงินในสหรัฐฯ
o XLV (Health Care Select Sector SPDR Fund) - ลงทุนในบริษัทในกลุ่มสุขภาพในสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ในดัชนี S&P 500 เช่น บริษัทยา บริษัทเครื่องมือแพทย์ และโรงพยาบาลในสหรัฐฯ
3. ETF ตลาดโลก:
o VEA (Vanguard FTSE Developed Markets ETF) – ลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วนอกสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย และประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ในยุโรปและเอเชีย
o VWO (Vanguard FTSE Emerging Markets ETF) – ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก เช่น จีน, อินเดีย, บราซิล, ไต้หวัน, เกาหลีใต้, แอฟริกาใต้, และตลาดเกิดใหม่อื่นๆ รวมถึงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย
o EFA (iShares MSCI EAFE ETF) - ลงทุนในตลาดยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกไกล โดยเน้นลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางในตลาดพัฒนาแล้ว ยกเว้นสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
4. ETF ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์:
o GLD (SPDR Gold Shares) - อ้างอิงราคาทองคำ
o USO (United States Oil Fund) - อ้างอิงราคาน้ำมันดิบ
5. ETF ตราสารหนี้:
o AGG (iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF) - ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและเอกชนในสหรัฐฯ
o BND (Vanguard Total Bond Market ETF) - ลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ โดยรวม
จุดเด่นของการลงทุนใน ETF:
• การกระจายความเสี่ยง: การลงทุนใน ETF เพียงหนึ่งกองทุน เท่ากับการลงทุนในหลักทรัพย์จำนวนมากพร้อมกัน
• ต้นทุนต่ำ: ค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไปมาก บาง ETF มีค่าธรรมเนียมเพียง 0.03% ต่อปี
• สภาพคล่องสูง: ซื้อขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิดทำการ ไม่ต้องรอการซื้อขายรอบวัน และทราบราคาที่ซื้อขายทันที ไม่ต้องรอ NAV
• ความโปร่งใส: เปิดเผยหลักทรัพย์ที่ลงทุนทุกวัน ทำให้ทราบว่าเงินลงทุนไปอยู่ที่ไหนบ้าง
• ความยืดหยุ่น: มีให้เลือกหลากหลายประเภทสินทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน
ข้อควรระวัง:
• ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: เนื่องจากเป็นการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
• ความเข้าใจในดัชนีอ้างอิง: ควรทำความเข้าใจว่า ETF แต่ละตัวอ้างอิงกับดัชนีหรือสินทรัพย์อะไร มีองค์ประกอบและวิธีการคำนวณอย่างไร
• สภาพคล่องแตกต่างกัน: ETF บางตัวมีสภาพคล่องต่ำ อาจทำให้ซื้อขายได้ในราคาที่แตกต่างจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV)
• ภาษีและกฎระเบียบ: การลงทุนในตลาดต่างประเทศอาจมีภาระภาษีและกฎระเบียบที่แตกต่างจากการลงทุนในประเทศ
• บริษัทผู้ออก ETF: ควรพิจารณารายละเอียดของบริษัทผู้ออก ETF ประกอบด้วย รวมถึงศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้อง
นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนใน ETF ในตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างสะดวกผ่านแพลตฟอร์มการลงทุนของ บล.InnovestX ที่เปิดให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศแบบเรียลไทม์ ด้วยขั้นตอนการเปิดบัญชีที่ง่ายและรวดเร็วผ่านระบบออนไลน์
(ศึกษารายละเอียดได้จาก https://www.innovestx.co.th/invest-with-innovestx)
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์และข้อมูลการลงทุนที่ครบถ้วน ช่วยให้นักลงทุนทุกระดับสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ อีกทั้งค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่แข่งขันได้และระบบแปลงสกุลเงินอัตโนมัติ ทำให้การลงทุนใน ETF สหรัฐฯ กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดโลก
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน