ในยามที่โลกเผชิญกับ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ราคาทองคำมักจะทำหน้าที่เป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างแสวงหาเพื่อปกป้องความมั่งคั่งของตนเอง แม้ว่าการลงทุนเชิงเก็งกำไรจะยังคงต่ำเมื่อเทียบกับความไม่แน่นอนในระดับมหภาค แต่ความต้องการเพื่อความปลอดภัยนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ราคาทองคำซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาล
จากการสำรวจของ World Gold Council ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2025 พบว่า 95% ของธนาคารกลางคาดการณ์ว่าการถือครองทองคำทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น ในอีก 12 เดือนข้างหน้า และที่น่าสนใจคือ 43% ของธนาคารกลางวางแผนที่จะเพิ่มสำรองทองคำของตนเอง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2018 ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ชัดเจนว่าธนาคารกลางจำนวนมากยังคงมองเห็นคุณค่าและบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองที่สำคัญ และยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวของการเข้าซื้อ ทำให้มีแนวโน้มที่การสะสมทองคำของธนาคารกลางจะยังคงดำเนินต่อไป
ทองคำได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุด ในปี 2025 โดยมี risk-adjusted returns ที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าธนาคารกลางจีนจะยุติการซื้อทองคำเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 2 เดือน แต่ยังคงถือครองทองคำประมาณ 7% ของสำรองเงินตราต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของทองคำในพอร์ตการลงทุนของประเทศมหาอำนาจ
อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงใน เงินทุนเก็งกำไร โดยนักลงทุนบางส่วนหันไปลงทุนในโลหะมีค่าอื่น ๆ เช่น เงินและแพลทินัม เพื่อแสวงหาโอกาสทำกำไรระยะสั้น Goldman Sachs ตั้งข้อสังเกตว่าการเพิ่มขึ้นของเงินและแพลทินัมนี้เป็นการเก็งกำไรเป็นหลักและขาดการสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งเท่าทองคำ
ในส่วนของ ความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยเฟด การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มการถือครองในกองทุน ETF ที่ลงทุนในทองคำ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระยะข้างหน้า เนื่องจากต้นทุนการถือครองทองคำจะลดลง
Goldman Sachs ยังคงมีมุมมองเชิงบวกอย่างมาก ต่อราคาทองคำ โดยคาดการณ์ว่าจะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2025 และพุ่งสู่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในกลางปี 2026 การคาดการณ์นี้อิงจากปัจจัยหนุนหลักคือการเข้าซื้อของธนาคารกลางอย่างต่อเนื่อง และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่จะกระตุ้นการถือครองใน ETF ทองคำ
อย่างไรก็ตาม ก็มี ปัจจัยความเสี่ยง ที่ต้องพิจารณาเช่นกัน ธนาคารกลางบางประเทศที่มีสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศสูงอยู่แล้ว เช่น ตุรกี (62%), รัสเซีย (38%), โปแลนด์ (23%) และฮังการี (23%) อาจชะลอการซื้อทองคำลงได้ในอนาคต แต่จากการสำรวจล่าสุด แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันนี้ยังไม่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตา ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าและการคลังของสหรัฐฯ รวมถึงการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลกเพื่อเตรียมรับมือกับภาษีศุลกากร อาจส่งผลต่อความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจเข้าร่วมกระแสการลงทุนในทองคำ มีหลากหลายเครื่องมือที่สามารถเลือกลงทุนได้ตามวัตถุประสงค์และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนผ่าน กองทุนรวมทองคำ เช่น กองทุน UOBSG-H ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำต่างประเทศ หรือ DR GOLD19 โดยนักลงทุนไม่จำเป็นต้องลงทุนโดยตรงในทองคำจริง ทำให้สะดวกและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น อีกทางเลือกหนึ่งคือการลงทุนใน ETF ทองคำที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น SPDR Gold Shares (GLD) ซึ่งเป็น ETF ทองคำขนาดใหญ่ที่อ้างอิงกับราคาทองคำแท่งจริง ทำให้สามารถซื้อขายได้ง่ายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ และสำหรับนักลงทุนที่ต้องการโอกาสในการเก็งกำไรและมีความเข้าใจในตลาดอนุพันธ์ สามารถพิจารณา Gold Online Futures ในตลาด TFEX ของไทย ซึ่งเป็นการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำที่อ้างอิงราคาตลาดโลก ทำให้สามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ราคาทองคำขึ้นและลง (Short Sell) แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในกองทุนหรือ ETF ทั่วไป การเลือกเครื่องมือการลงทุนที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ และเป้าหมายการลงทุนของแต่ละบุคคล
โดยสรุปแล้ว แม้จะมีปัจจัยท้าทายอยู่บ้าง แต่ภาพรวมของราคาทองคำยังคงดูสดใส จากแรงหนุนของการเข้าซื้อของธนาคารกลาง ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทำให้นักลงทุนยังคงสามารถมองทองคำเป็นส่วนหนึ่งของการจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเติบโตได้
🚀 ลงทุน TFEX, ETF, หุ้นต่างประเทศ หุ้นไทย และกองทุนรวม กับ InnovestX
เปิดบัญชี InnovestX 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
⚠️ คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งที่รับประกันผลงานในอนาคต เงินลงทุนอาจสูญหาย และควรศึกษาความเสี่ยงก่อนลงทุน