ภาษีนำเข้าหรือภาษีศุลกากร (Tariff) มีรากฐานที่ยาวนานในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนถึงปัจจุบัน เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไร และทำไมกลยุทธ์เก่าแก่นี้จึงนำมาใช้เป็นเกมต่อรองทางเศรษฐกิจมายาวนานต่อเนื่อง
ภาษีศุลกากรถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเศรษฐกิจชิ้นแรกๆ ของสหรัฐอเมริกา หลังจากได้รับเอกราชในปี 1776 และการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี 1789 รัฐบาลกลางจำเป็นต้องหารายได้ที่มั่นคง ภาษีศุลกากรจึงกลายเป็นคำตอบ โดย Tariff Act of 1789 เป็นกฎหมายลำดับที่สองที่ประธานาธิบดี George Washington ลงนาม กำหนดภาษีนำเข้าประมาณ 5% สำหรับสินค้าเกือบทุกชนิด
มีเป้าหมายสำคัญสามประการ:
1. 💰 เพื่อเป็นแหล่งรายได้ของรัฐบาลกลาง
2. 🏭 เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศที่เพิ่งเริ่มก่อตัว (infant industries)
3. 🛡️ เพื่อสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ
Alexander Hamilton รัฐมนตรีกระทรวงการคลังคนแรกของสหรัฐอเมริกา (1789-1795) เป็นผู้วางรากฐานความคิดเรื่องการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ในรายงานที่ชื่อ "Report on Manufactures" เขาเสนอว่าหากประเทศต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ จำเป็นต้องปกป้องอุตสาหกรรมนั้นชั่วคราวด้วยการเก็บภาษีนำเข้า เขาเชื่อว่าถึงแม้การคุ้มครองจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นในช่วงแรก แต่เมื่ออุตสาหกรรมภายในประเทศพัฒนาจนสมบูรณ์ ราคาจะลดลงในที่สุด
Hamilton ยังเสนอมาตรการเสริมอื่นๆ เช่น การห้ามส่งออกวัตถุดิบสำคัญ การลดภาษีปัจจัยการผลิตอุตสาหกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการขนส่ง นโยบายของ Hamilton ได้สร้างเงื่อนไขสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วของสหรัฐฯ และมีอิทธิพลต่อนโยบายเศรษฐกิจของประเทศจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ช่วงศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 สหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น โดยระหว่างปี 1861-1933 อัตราภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ในช่วงสงครามกลางเมือง (1861-1865) ประธานาธิบดี Abraham Lincoln ผู้สนับสนุนแนวคิด "American System" ของ Henry Clay ผลักดันการเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 44% ซึ่งอัตรานี้ยังคงอยู่แม้หลังสงครามสิ้นสุด
ในช่วงปี 1871-1913 อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยไม่เคยลดต่ำกว่า 38% ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) เติบโต 4.3% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอังกฤษที่เน้นการค้าเสรี และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของสหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 20 ด้วย
การศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์เกาหลีใต้ Ha-Joon Chang ชี้ว่าช่วงที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมตรงกับ "ยุคทอง" ของอุตสาหกรรมอเมริกัน ที่เศรษฐกิจเติบโตแซงหน้าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกตลอดศตวรรษที่ 19 จนถึงทศวรรษ 1920 สหรัฐฯ เริ่มเปิดเสรีทางการค้ามากขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงเกินไปก็นำมาซึ่งปัญหา ดังจะเห็นได้จากกรณี Smoot-Hawley Tariff Act ในปี 1930 ที่เพิ่มอัตราภาษีสูงถึง 50% เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ แต่กลับทำให้สถานการณ์แย่ลง เมื่อประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีเช่นกัน ส่งผลให้การนำเข้าและส่งออกของสหรัฐฯ ลดลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากบทเรียนราคาแพงจาก Smoot-Hawley Tariff รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่าน Reciprocal Tariff Act ในปี 1934 มอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารเจรจาข้อตกลงลดภาษีกับประเทศอื่นๆ ได้ จากนั้นสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมก่อตั้ง GATT (General Agreement on Tariffs and Trade) ในปี 1947 ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น WTO (World Trade Organization) ในปี 1995 เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ
ในช่วงทศวรรษ 1980-1990 ประธานาธิบดี Ronald Wilson Reagan และรัฐบาลพรรครีพับลิกันหันมาสนับสนุนการค้าเสรี นำไปสู่ข้อตกลง North American Free Trade Agreement (NAFTA) ในปี 1994 ที่เปิดการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก ตามมาด้วยการให้สถานะ "ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง" (Most Favored Nation) แก่จีนในปี 2000
นับจากปี 2017 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ฟื้นฟูแนวคิดการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศผ่านการเก็บภาษีศุลกากร เขาเริ่มจากการเก็บภาษีแผงโซลาร์และเครื่องซักผ้า 30-50% ตามมาด้วยภาษีเหล็ก 25% และอลูมิเนียม 10% จากหลายประเทศ และขยายไปสู่สงครามการค้ากับจีนด้วยการเก็บภาษี 25% กับสินค้าจีน 818 รายการมูลค่า 50 พันล้านดอลลาร์
ในสมัยที่สองของทรัมป์ นโยบายภาษีศุลกากรยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาประกาศ "Liberation Day Tariffs" เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น "หนึ่งในวันสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน" โดยลงนามในคำสั่งบริหาร 14257 ที่กำหนดนโยบายภาษีศุลกากรทั่วโลก ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น "การประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจ" ของสหรัฐฯ การประกาศครั้งนี้นำไปสู่สงครามการค้าโลกและทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลง
การศึกษาโดยนักเศรษฐศาสตร์ David Autor, David Dorn และ Gordon Hanson พบว่าการค้ากับจีนทำให้ชาวอเมริกันสูญเสียงานในภาคการผลิตประมาณหนึ่งล้านตำแหน่งระหว่างปี 1991-2007 การแข่งขันจากสินค้านำเข้าจากจีนนำไปสู่การสูญเสียงานและค่าจ้างที่ลดลง อีกทั้งการสร้างงานในอุตสาหกรรมอื่นเพื่อชดเชยก็ไม่เกิดขึ้นตามที่คาดหวัง
Joseph Stiglitz นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลเคยเขียนในปี 2017 ว่า "ชนชั้นกลางอเมริกันคือผู้แพ้ของโลกาภิวัตน์" ขณะที่ "จีนกับชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์รายใหญ่"
ภาษีศุลกากรมีประวัติศาสตร์ยาวนานในสหรัฐอเมริกา จากเครื่องมือหารายได้และปกป้องอุตสาหกรรมใหม่ในยุคแรกเริ่ม สู่การเป็นนโยบายกีดกันทางการค้าที่แข็งกร้าวในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ตามด้วยการผ่อนคลายและหันไปสู่การค้าเสรีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนจะถูกรื้อฟื้นอีกครั้งในยุคทรัมป์
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าแม้ภาษีศุลกากรอาจช่วยปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศในระยะสั้น แต่การใช้มาตรการนี้อย่างเข้มงวดเกินไปมักนำไปสู่การตอบโต้จากประเทศคู่ค้าและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวม การกลับมาของนโยบายภาษีศุลกากรในยุคทรัมป์สะท้อนความพยายามที่จะรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่ โดยใช้เครื่องมือจากอดีต ซึ่งผลลัพธ์ยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ทั่วโลก
ที่มา: Reuters, CNBC และ Wikipedia
แปลและเรียบเรียง: InnovestX Content Team
-----------------------------------------------------------------------------
📱 ดาวโหลดและเปิดบัญชีลงทุนกับ InnovestX พร้อมรับข้อมูลการลงทุนคุณภาพ
https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b