Wirecard เคยเป็นดาวเด่นในวงการฟินเทคของยุโรป บริษัทประมวลผลการชำระเงินออนไลน์สัญชาติเยอรมันที่เติบโตอย่างรวดเร็วจนได้เข้าไปอยู่ในดัชนี DAX 30 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นชั้นนำของเยอรมนี แทนที่ธนาคารเก่าแก่อย่าง Commerzbank ในปี 2018 ความสำเร็จนี้ทำให้ Wirecard กลายเป็นความภาคภูมิใจของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเยอรมัน
อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิถุนายน 2020 ทุกอย่างพังทลาย เมื่อบริษัทยอมรับว่าเงิน 1.9 พันล้านยูโร (ประมาณ 2.1 พันล้านดอลลาร์) ที่อ้างว่ามีอยู่ในบัญชีธนาคารในฟิลิปปินส์ "อาจไม่มีอยู่จริง" หลังจากนั้นไม่นาน Wirecard ยื่นล้มละลาย CEO ถูกจับกุม และกลายเป็นหนึ่งในการฉ้อโกงทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป
Wirecard ก่อตั้งในปี 1999 ในมิวนิค เยอรมนี เริ่มต้นเป็นผู้ให้บริการประมวลผลการชำระเงินสำหรับเว็บไซต์การพนันและผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ธนาคารดั้งเดิมไม่ต้องการให้บริการ ต่อมาบริษัทขยายบริการไปสู่ร้านค้าออนไลน์ทั่วไป สายการบิน และธุรกิจท่องเที่ยว โดยนำเสนอบริการที่ครบวงจรตั้งแต่การประมวลผลการชำระเงิน การจัดการความเสี่ยง และบัตรเดบิต
ภายใต้การนำของ Markus Braun ซึ่งเป็น CEO ตั้งแต่ปี 2002 Wirecard มุ่งเน้นการขยายตัวในเอเชีย โดยเฉพาะในสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ผ่านการซื้อกิจการและการสร้างพันธมิตรกับบริษัทท้องถิ่น ในปี 2006 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต และในปี 2018 มีมูลค่าตลาดสูงถึง 24,000 ล้านยูโร (ประมาณ 28,000 ล้านดอลลาร์) ซึ่งมากกว่า Deutsche Bank ที่เป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของเยอรมนี
การทุจริตของ Wirecard มีความซับซ้อนและครอบคลุมหลายประเทศ โดยมีองค์ประกอบหลักดังนี้:
1. การสร้างรายได้ปลอม: Wirecard อ้างว่ามีพันธมิตรทางธุรกิจ (Third-party acquirers หรือ TPAs) ในหลายประเทศในเอเชีย ที่ดำเนินธุรกิจประมวลผลการชำระเงินในนามของ Wirecard แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจเหล่านี้หลายแห่งไม่มีอยู่จริงหรือมีขนาดเล็กกว่าที่อ้างมาก
2. เงินในบัญชีที่ไม่มีอยู่จริง: บริษัทอ้างว่ามีเงินฝากในบัญชีพิเศษ (escrow accounts) ในธนาคารในฟิลิปปินส์จำนวน 1.9 พันล้านยูโร ซึ่งเป็นเงินที่ได้รับจากธุรกรรมผ่าน TPAs เหล่านี้ แต่เมื่อผู้ตรวจสอบพยายามยืนยัน พบว่าเงินนี้ไม่เคยมีอยู่จริง และธนาคารปฏิเสธว่า Wirecard ไม่เคยเป็นลูกค้า
3. การตกแต่งผลประกอบการ: ด้วยการอ้างรายได้และเงินฝากปลอม Wirecard สามารถแสดงผลการดำเนินงานที่ดีเกินจริง ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นและได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแล
4. การยักยอกเงิน: มีการโอนเงินจำนวนมหาศาลไปยังบริษัทและบัญชีส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร โดยเฉพาะ Jan Marsalek (COO) ซึ่งหลบหนีและยังคงเป็นผู้ต้องหาที่มีการออกหมายจับทั่วโลก
Wirecard ใช้วิธีหลายอย่างเพื่อปกปิดการทุจริตและโจมตีผู้วิจารณ์:
1. การว่าจ้างสำนักงานกฎหมายและนักสืบเอกชน: Wirecard ว่าจ้างนักสืบเอกชนให้สะกดรอยตามและข่มขู่นักข่าวและนักวิเคราะห์ที่สงสัยในธุรกิจของบริษัท
2. การฟ้องร้องผู้วิจารณ์: บริษัทฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ Financial Times และนักวิเคราะห์ที่เขียนรายงานเชิงลบเกี่ยวกับบริษัท
3. การล็อบบี้หน่วยงานกำกับดูแล: Wirecard พยายามโน้มน้าวหน่วยงานกำกับดูแลในเยอรมนี (BaFin) ให้ดำเนินการกับนักลงทุนที่ขายหุ้น Wirecard ในตลาด (short sellers) แทนที่จะตรวจสอบบริษัท
4. การปลอมแปลงเอกสาร: มีการสร้างเอกสารและสัญญาปลอมเพื่อหลอกผู้ตรวจสอบและนักลงทุน
หนังสือพิมพ์ Financial Times โดยเฉพาะนักข่าว Dan McCrum มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงการทุจริตของ Wirecard ตั้งแต่ปี 2015 McCrum เริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผลประกอบการที่ผิดปกติของบริษัทในชุดบทความชื่อ "House of Wirecard"
ในปี 2019 FT ได้รับเอกสารภายในที่รั่วไหลออกมาซึ่งแสดงหลักฐานการตกแต่งบัญชีในสิงคโปร์ การเปิดเผยนี้นำไปสู่การตรวจค้นสำนักงานของ Wirecard ในสิงคโปร์โดยตำรวจท้องถิ่น แต่ BaFin กลับเริ่มการสอบสวน FT ด้วยข้อหาการปั่นราคาหุ้น และห้ามการขายชอร์ตหุ้น Wirecard เป็นเวลาสองเดือน
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2020 เมื่อ KPMG ซึ่งได้รับการว่าจ้างให้ทำการตรวจสอบพิเศษไม่สามารถยืนยันการมีอยู่จริงของรายได้จำนวนมากที่ Wirecard อ้าง ต่อมา Ernst & Young ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของบริษัทมานานกว่า 10 ปี ปฏิเสธที่จะรับรองงบการเงินประจำปี 2019 เนื่องจากไม่สามารถยืนยันการมีอยู่จริงของเงิน 1.9 พันล้านยูโรที่อ้างว่าอยู่ในบัญชีในฟิลิปปินส์
ในวันที่ 18 มิถุนายน 2020 Wirecard ประกาศว่าเงิน 1.9 พันล้านยูโร "อาจไม่มีอยู่จริง" และวันที่ 25 มิถุนายน บริษัทยื่นล้มละลาย
1. ผู้ถือหุ้น: นักลงทุนสูญเสียเงินเกือบทั้งหมด เมื่อราคาหุ้นลดลงจาก 191 ยูโรในช่วงสูงสุดเหลือเพียงไม่กี่ยูโร
2. ระบบการชำระเงิน: ธุรกิจที่ใช้บริการของ Wirecard ได้รับผลกระทบเมื่อหน่วยงานกำกับดูแลในสหราชอาณาจักรสั่งระงับการดำเนินงานของบริษัทย่อย ทำให้บัตรเดบิตหลายล้านใบไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว
3. ความเชื่อมั่นในตลาดทุน: กรณีนี้สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของตลาดทุนเยอรมันและระบบการกำกับดูแล
• Markus Braun (CEO) ถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาฉ้อโกง การตกแต่งบัญชี และการปั่นราคาหุ้น
• Jan Marsalek (COO) หลบหนีและยังคงเป็นผู้ต้องหาที่มีการออกหมายจับทั่วโลก มีรายงานว่าเขาอาจหลบหนีไปรัสเซียหรือเบลารุส
• ผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ ถูกจับกุมในเยอรมนีและประเทศอื่นๆ
นอกจากนี้ มีการสอบสวนผู้สอบบัญชี Ernst & Young ที่ไม่สามารถตรวจพบการทุจริตเป็นเวลาหลายปี และหน่วยงานกำกับดูแล BaFin ที่ล้มเหลวในการตรวจสอบบริษัทอย่างเหมาะสม
กรณี Wirecard มีบทเรียนสำคัญหลายประการสำหรับนักลงทุน:
1. ระวังการเติบโตที่เร็วเกินไป: Wirecard มีการเติบโตที่รวดเร็วผิดปกติเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
o ควรตั้งคำถามเมื่อบริษัทมีอัตราการเติบโตหรืออัตรากำไรที่สูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ
o เปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงินกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
2. ให้ความสำคัญกับกระแสเงินสด: แม้ Wirecard จะรายงานกำไรสูง แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานไม่สอดคล้องกับกำไรที่รายงาน
o ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างกำไรและกระแสเงินสด
o สงสัยเมื่อบริษัทมีกำไรแต่กระแสเงินสดติดลบเป็นเวลานาน
3. ตรวจสอบความซับซ้อนในโครงสร้างธุรกิจ: Wirecard มีโครงสร้างธุรกิจที่ซับซ้อนทั่วโลกและพึ่งพารายได้จากพันธมิตรที่ไม่เปิดเผย
o ระวังบริษัทที่มีโครงสร้างซับซ้อนโดยไม่จำเป็น
o ตรวจสอบแหล่งที่มาของรายได้และความสัมพันธ์กับบริษัทย่อยหรือพันธมิตร
4. ฟังเสียงวิจารณ์: นักข่าวและนักวิเคราะห์ที่วิจารณ์ Wirecard ถูกโจมตีและข่มขู่ แทนที่จะได้รับการตอบสนองด้วยความโปร่งใส
o ให้ความสนใจกับข้อวิจารณ์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะเมื่อมีการวิเคราะห์ที่ละเอียด
o ระวังบริษัทที่ตอบโต้ผู้วิจารณ์ด้วยการข่มขู่หรือฟ้องร้องแทนที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง
5. สังเกตพฤติกรรมของผู้บริหาร: ผู้บริหารของ Wirecard มีพฤติกรรมที่น่าสงสัย เช่น การหลีกเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับธุรกิจในเอเชีย
o ระวังผู้บริหารที่ไม่สามารถอธิบายโมเดลธุรกิจอย่างชัดเจน
o สังเกตการตอบคำถามที่หลีกเลี่ยงหรือคลุมเครือในการประชุมนักวิเคราะห์
6. อย่าเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย: หน่วยงานกำกับดูแลและผู้สอบบัญชีล้มเหลวในการตรวจสอบ Wirecard อย่างเพียงพอ
o อย่าเชื่อว่าการรับรองจากผู้สอบบัญชีชั้นนำหรือหน่วยงานกำกับดูแลรับประกันความถูกต้อง
o ทำการวิเคราะห์ของตนเองและพิจารณาที่จะกระจายความเสี่ยง
กรณี Wirecard เป็นเครื่องเตือนใจว่าการทุจริตสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในตลาดที่มีการกำกับดูแลเข้มงวดอย่างเยอรมนี และแม้ในบริษัทที่ได้รับการตรวจสอบโดยสำนักงานบัญชีชั้นนำของโลก การมีวิจารณญาณและความระมัดระวังในการลงทุนยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุนทุกคน