Theme Play

กองทุนหุ้นอินเดีย PRINCIPAL INDIAEQ-A รับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด และเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี

18 Apr 25 2:20 PM
TopPicks_Thumbnail_1280x720px copy-29
Key Summary

INVX แนะนำลงทุนระยะยาว (มากกว่า 6 เดือน) ในหุ้นอินเดียผ่านกองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A เนื่องจากรับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด และเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี โดยราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวจากสัญญาณเชิงเทคนิค พร้อมทั้งได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ แนะนำเข้าลงทุนโดยมีเป้าหมายผ่าน iShares MSCI India ETF ที่ $59.2 (+13.2%) และจุด Stop loss ที่ $47.8 (-8.5%) โดยการตัดสินใจเข้าหรือออกจาก position จะพิจารณาร่วมกับปัจจัยพื้นฐานและ sentiment ของตลาดในขณะนั้น

  • Event: ดัชนี MSCI India ทะลุกรอบแนวต้าน พร้อมทำ Higher high บ่งชี้การกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น และมีสัญญาณการฟื้นตัวของ Domestic Demand และการท่องเที่ยวภายในประเทศ
  • Fundamental: เศรษฐกิจและกำไรของตลาดหุ้นอินเดียเติบโตในระดับโดดเด่น ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจ
  • Technical: ราคาทะลุแนวต้านและเส้นเฉลี่ย 50 วัน พร้อมทำ Higher high สะท้อนแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน แนวรับสำคัญที่ $47.8
  • แนะนำกองทุน: PRINCIPAL INDIAEQ-A

[Theme play คือ กลยุทธ์ที่มองหาโอกาสการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐาน การปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง เทรนด์ และแนวโน้มการลงทุนใหม่ๆ ที่เป็นโอกาสการลงทุน]

 

Event

  • ตลาดหุ้นอินเดีย ดัชนี MSCI India ปรับตัวขึ้นทะลุเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และกรอบแนวต้าน พร้อมทั้ง ราคาทำ Higher high บ่งชี้สัญญาณกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
  • เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของ domestic demand ผ่านยอดขายรถ มอเตอร์ไซค์ และการเดินทางภายในประเทศ
  • ค่าเงินรูปีเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มเสถียรภาพ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เป็นผลดีต่อการลงทุนประเทศ EM

 

Fundamental

  • เศรษฐกิจอินเดียเริ่มฟื้นตัว โดย GDP คาดว่าจะเติบโต 6.3% ใน FY26 (เริ่ม 1 เม.ย. 2025) ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและการบริโภค
  • มาตรการสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยรัฐบาลอินเดียออกมาตรการหลายด้านเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ 1) การลดภาษีเงินได้ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของครัวเรือน 2) งบลงทุนภาครัฐ (public capex) อยู่ในระดับสูงราว 3% ของ GDP 3) มาตรการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน ผ่านการลดภาษีนิติบุคคลสำหรับบางอุตสาหกรรม 4) นโยบายสนับสนุนผู้บริโภค เช่น การลดภาษีให้กับภาคครัวเรือนและการอุดหนุนสินค้าอุปโภคบริโภค
  • ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเอื้อต่อเศรษฐกิจ คาดว่า RBI จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้ เนื่องจาก 1) อัตราเงินเฟ้อเริ่มทรงตัวในกรอบ ซึ่งอยู่ในระดับเป้าหมายของ RBI และ 2) RBI ต้องการสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อและการบริโภค (RBI มีท่าที pro growth)
  • สินเชื่อเริ่มกลับมาเติบโต โดยการขยายตัวของสินเชื่อภาคธนาคารคาดแตะ 12-14% ในปีนี้และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุน 1) การลดอัตราดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นความต้องการสินเชื่อ 2) ภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลางมีความต้องการกู้ยืมเพิ่มขึ้น 3) RBI สนับสนุนการเติบโตผ่านการเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ
  • ค่าเงินรูปีอินเดียคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบที่มีเสถียรภาพมากขึ้น จากปัจจัยสนับสนุน 1) ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ไม่ได้แข็งค่า และ 2) ธนาคารกลางอินเดียยังมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพียงพอ และเริ่มกลับมาทรงตัวหลังจากการปรับลดลงก่อนหน้านี้
  • ผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ อินเดียมีแนวโน้มเพิ่มการนำเข้าสินค้ายุทธศาสตร์จากสหรัฐฯ ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางรักษาดุลความสัมพันธ์ทางการค้า และลดแรงกดดันด้านภาษีนำเข้าในระยะข้างหน้า อีกทั้ง อินเดียเป็นประเทศที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้มีโอกาสได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด
  • การเติบโตของกำไรคาดว่า EPS ของตลาดหุ้นอินเดียจะเติบโตในระดับที่โดดเด่น โดยมีปัจจัยสนับสนุน จาก 1) ฐานกำไรเปรียบเทียบปีก่อนที่ไม่ได้สูง 2) อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ช่วยหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียน 3) การบริโภคในประเทศฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล 4) Upside Risk หาก RBI ลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด หรือหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วขึ้น อาจทำให้ EPS เติบโตสูงกว่าที่คาด
  • Valuation ในปัจจุบันของตลาดหุ้นอินเดียอยู่ในระดับน่าสนใจ โดย Forward P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี

 

ภาพที่ 1: Valuation ของดัชนี MSCI India อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี 

MSCI-India-FWD-PE_Picture1.jpg

 

Source: InnovestX Investment Products & Strategy, Bloomberg as of 18 April 2025

 

Technical

  • ตลาดหุ้นอินเดีย iShares MSCI India ETF ราคาทะลุผ่านกรอบแนวต้านและราคาทำ Higher high อาจบ่งชี้ถึงการปรับตัวสู่แนวโน้มขาขึ้น
  • ดัชนีราคาทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน สะท้อนโมเมนตัมเชิงบวก
  • แนวรับสำคัญ สะท้อนผ่าน iShares MSCI India ETF ที่ $47.8 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของการปรับฐานก่อนหน้า หากราคาไม่หลุดระดับนี้ เทรนด์ขาขึ้นยังคงแข็งแกร่ง
  • ดังนั้น แนะนำเข้าลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ระยะการถือครอง 6 เดือนขึ้นไป (Theme play) โดยมองเป้าหมายผ่าน iShares MSCI India ETF ที่ $59.2 และจุด Stop loss ที่ $47.8 ทั้งนี้ การตัดสินใจเข้าหรือออกจาก position จะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและ sentiment ของตลาดในขณะนั้นร่วมด้วย

ภาพที่ 2: iShares MSCI India ETF 

INDA-ETF_Picture1.jpg

Source: InnovestX Investment Products & Strategy, TradingView as of 18 April 2025

 

กองทุนแนะนำ: PRINCIPAL INDIAEQ-A

จาก Universe กองทุนรวมที่ลงทุนหุ้นอินเดียประเภท Feeder Fund และมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management ของทาง InnovestX มีทั้งหมด 13 กองทุนไทย และ 12 กองทุนหลักด้วยกัน (Update as of 28 Feb 2025)

Picture1.jpg

Source: Fund Factsheet

 

แนวทางการพิจารณาคัดเลือกกองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A

  1. คัดเลือกกองทุน Active ที่สามารถเอาชนะชี้วัดได้ในระยะกลาง-ยาวบ่อยมากที่สุด โดยพิจารณาเทียบดัชนีชี้วัดทั้ง MSCI India Index และ NIFTY Index โดยจะเหลือจำนวน 4 กองทุนที่เราได้ทำการกรองออกมา

Picture2.jpg

Source: Morningstar as of 31 Mar 2025

 

  1. พิจารณาในเชิงของ Capture Ratio โดยรวมมีค่ามากกว่า 1 แล้วสะท้อนว่าผลการดำเนินงานในส่วนอัตราส่วนของ Upside Capture Ratio (วัดว่ากองทุนปรับตัวขึ้นได้เท่าไรเมื่อเทียบกับช่วงที่ดัชนีปรับตัวขึ้น) สูงกว่า Downside Capture Ratio (วัดว่ากองทุนปรับตัวลงได้เท่าไรเมื่อเทียบกับช่วงที่ดัชนีปรับตัวลง) ขณะเดียวกันในเชิงของผลการดำเนินงานเทียบความเสี่ยงของกองทุนรวมในช่วงที่ผ่านมาว่าเหนือดัชนีชี้วัดไหม (Return/SD) ซึ่งผลการดำเนินงานของทั้ง 4 กองทุนถือว่าอยู่ในกลุ่มที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด

Picture3.jpg

Source: Morningstar as of 31 Mar 2025

Picture4.jpg

Source: Morningstar as of 31 Mar 2025

 

  1. อย่างไรก็ตามด้วยกลยุทธ์การลงทุนของทางทีม ที่มองถึงโอกาสในการเติบโตของตลาดหุ้นอินเดีย และมองถึงโอกาสในการฟื้นตัวและเป็นกลุ่ม Domestic Play เราจึงเน้นกลุ่มกองทุนที่มีสัดส่วนการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นขนาดกลางและเล็กในสัดส่วนที่สูงกว่าดัชนีชี้วัด ซึ่งทำให้เหลือ 2 กองทุนได้แก่ Asoka WhiteOak India Opps และกองทุน GS India Equity ซึ่งเราจะพิจารณาเพิ่มเติมในเชิงของความสามารถในการสร้าง Alpha โดยเฉลี่ยในปีที่ตลาดหุ้นอินเดียเป็นขาขึ้น จึงทำการคัดเลือกกองทุนหุ้นอินเดีย PRINCIPAL INDIAEQ-A ที่ลงทุนในกองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opps

Picture5.jpg

Source: Morningstar as of 31 Mar 2025

 

สรุปจุดเด่นของกองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A

  1. กองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นอินเดียผ่านกองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund
  2. กองทุนหลักใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management โดยเทียบดัชนี MSCI India IMI Index ที่ครอบคลุมหุ้นกว่า 99% ของหุ้นอินเดียที่มีสภาพคล่องทั้งหมด
  3. บริหารโดยคุณ Prashant Khemka ซึ่งผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์กว่า 26 ปี อีกทั้งยังเคยทำงานที่ Goldman Sachs Asset Management India มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 - 2017 ให้กับกองทุน GS India Strategy และ GS Global Emerging Markets Equity Strategy ก่อนที่จะออกมาก่อตั้งบริษัท White Oak Capital Partners ในปี 2017 ที่เป็นผู้บริหารกองทุน Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund
  4. มีทีมงานขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยทีมนักวิเคราะห์ที่มี Coverage หุ้นในประเทศอินเดียมากถึง 32 ท่านที่คอยให้การสนับสนุน
  5. เน้นเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพสูง โดยลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของพอร์ตการลงทุนในบริษัทที่มีรายได้หรือกำไรจากภายในประเทศอินเดียเป็นหลัก
  6. กองทุนยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับปัจจัยด้านมูลค่า โดยจะคัดสรรและเข้าลงทุนเฉพาะในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่ประเมินไว้เท่านั้น เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่ประกอบด้วยหุ้นคุณภาพเยี่ยมและคุณภาพเหมาะสมราว 75 - 150 บริษัท
  7. กองทุนหลักเน้นเฟ้นหาโอกาสการลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ราว 42% ของพอร์ต (as of 28 Feb 2025)
  8. ในช่วง 1, 3, 5 ปีที่ผ่านมา กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนได้เหนือดัชนีชี้วัด โดยกองทุนหลักสามารถสร้างผลตอบแทนต่อปีได้เฉลี่ย 6.6%, 7.2% และ 23.2% ตามลำดับ (as of 28 Feb 2025)
  9. พอร์ตการลงทุนปัจจุบันกระจายลงทุนในกลุ่มอุตสาหกกรรมอย่าง Financials, Consumer Discretionary, Industrials, Health Care, Communication Services เป็นต้น
  10. พอร์ตการลงทุนปัจจุบันมีการกระจายตัวอยู่ในหุ้นกว่า 150 ตัว โดย Top Holdings ล่าสุด ได้แก่ ICICI Bank, Bharti Airtel, HDFC Bank, Tata Consultancy Services, Bajaj Finserv

 

กองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ (PRINCIPAL INDIAEQ-A) เป็นกองทุนในกลุ่ม India Equity ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund ที่เน้นลงทุนในหุ้นอินเดียคุณภาพสูง มีมูลค่าเหมาะสมและมีธรรมาภิบาลดี

 

กองทุนหลักถูกบริหารโดยคุณ Prashant Khemka ซึ่งผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์กว่า 26 ปี อีกทั้งยังเคยทำงานที่ Goldman Sachs Asset Management India มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 - 2017 ให้กับกองทุน GS India Strategy และ GS Global Emerging Markets Equity Strategy นอกจากนี้ กองทุนหลักยังมีทีมงานขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยทีมนักวิเคราะห์ที่มี Coverage หุ้นในประเทศอินเดียมากถึง 32 ท่านที่คอยให้การสนับสนุน และทำการวิเคราะห์หลักทรัพย์ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในด้านปัจจัยพื้นฐาน และประเด็นด้านธรรมาภิบาลอย่างเชิงลึก

Picture6.jpg

Source: WhiteOak as of February 2025

 

กองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund จะเน้นเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพสูง โดยลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของพอร์ตการลงทุนในบริษัทที่มีรายได้หรือกำไรจากภายในประเทศอินเดียเป็นหลัก ทั้งนี้กองทุนหลักได้ให้คำนิยามของคำว่า “ธุรกิจคุณภาพสูง” ไว้ว่าเป็นกิจการที่สามารถสร้างผลตอบแทนต่อเงินทุนได้ดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว และดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี

 

ขณะเดียวกัน กองทุนยังให้ ความสำคัญอย่างยิ่งกับปัจจัยด้านมูลค่า โดยจะคัดสรรและเข้าลงทุนเฉพาะในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่ประเมินไว้เท่านั้น เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่ประกอบด้วยหุ้นคุณภาพเยี่ยมและคุณภาพเหมาะสมราว 75 - 150 บริษัท

Picture7.jpg

Source: WhiteOak as of February 2025

 

ในแง่ของการสร้างพอร์ตการลงทุน ผู้จัดการกองทุนหลักเน้นสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความสมดุล และมีการคุมความเสี่ยงให้เหมาะสม โดยจะลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และพยายามหลีกเลี่ยงการจับจังหวะตลาด ในปัจจุบันพอร์ตการลงทุนมีการกระจายตัวดี โดยลงทุนในหุ้นมากถึง 150 บริษัท

 

และเนื่องจากทีมผู้จัดการกองทุนเชื่อมั่นว่า การค้นหาหุ้นที่มีระดับราคาที่น่าสนใจมีโอกาสพบเจอในหุ้นขนาดกลางและเล็กมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาด หรือหมายถึงหุ้นขนาดใหญ่มักเป็นที่รู้จักและมีนักวิเคราะห์คอยจับตาระดับราคาที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กนั้นจะมีนักวิเคราะห์ที่ติดตามอยู่ในจำนวนที่น้อยกว่าและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมักไม่ให้ความสนใจในหุ้นประเภทนี้ กองทุนจึงมองหาโอกาสในหุ้นกลุ่มดังกล่าว เห็นได้จากพอร์ตการปัจจุบันซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็กอยู่ราว 42% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025)

Picture8.jpg

Source: WhiteOak as of February 2025

 

ผู้จัดการกองทุนหลักยังเน้นสร้างผลตอบแทนส่วนเกินจากการคัดเลือกหุ้น (Stock selection) ซึ่งความสามารถในการคัดเลือกหุ้นคุณภาพสูงที่มีมูลค่าเหมาะสมอย่างต่อเนื่องได้ถูกพิสูจน์ผ่านผลการดำเนินในระยะยาวที่มีความโดดเด่น โดยกองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund สามารถสร้างผลตอบแทนในช่วง 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ยปีละ 23.2% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2025)

Picture9.jpg

Source: Factset & WhiteOak as of February 2025

 

กลุ่มอุตสาหกรรม (Update as of 28 Feb 2025)

  1. Financials 28.3%
  2. Consumer Discretionary 15.3%
  3. Information Technology 11.3%
  4. Industrials 11.3%
  5. Health Care 9.2%
  6. Communication Services 8.6%

 

ตัวอย่างหุ้น 5 ตัวแรกที่พอร์ตการลงทุนถืออยู่ (Update as of 28 Feb 2025)

  • ICICI Bank เป็นหนึ่งในธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ของอินเดีย ซึ่งให้บริการทางการเงินครบวงจรทั้งด้านสินเชื่อ เงินฝาก การโอนเงิน และบริการดิจิทัลสำหรับลูกค้ารายย่อยและองค์กร
  • Bharti Airtel เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของอินเดีย ให้บริการครอบคลุมทั้งโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ และโซลูชันดิจิทัลในหลายประเทศ
  • HDFC Bank เป็นธนาคารเอกชนชั้นนำของอินเดียที่มีความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการทางการเงินครบวงจร
  • Tata Consultancy Services เป็นบริษัทไอทีและที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีชั้นนำของอินเดีย ให้บริการด้านซอฟต์แวร์ โซลูชันดิจิทัล และการจัดการธุรกิจแก่ลูกค้าทั่วโลก
  • Bajaj Finserv เป็นบริษัทชั้นนำด้านบริการทางการเงินของอินเดีย ให้บริการครอบคลุมทั้งสินเชื่อ ประกันภัย และการบริหารความมั่งคั่ง โดยเน้นนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ผลการดำเนินงานของกองทุนหลักย้อนหลัง (Update as of 31 Mar 2025)

  • กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ที่ 6.6% เทียบกับ MSCI India Index ที่ 8%
  • กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี เฉลี่ยปีละ 7.2% เทียบกับ MSCI India Index ที่ 6.9%
  • กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยปีละ 23.2% เทียบกับ MSCI India Index ที่ 20.5%

 

คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บล.อินโนเวสท์ เอกซ์

Most Viewed Ideas
1/5
Related Ideas
Most Viewed Ideas
1/5