Key Summary
INVX แนะนำลงทุนระยะยาว (มากกว่า 6 เดือน) ในหุ้นอินเดียผ่านกองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A เนื่องจากรับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด และเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี โดยราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวจากสัญญาณเชิงเทคนิค พร้อมทั้งได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ แนะนำเข้าลงทุนโดยมีเป้าหมายผ่าน iShares MSCI India ETF ที่ $59.2 (+13.2%) และจุด Stop loss ที่ $47.8 (-8.5%) โดยการตัดสินใจเข้าหรือออกจาก position จะพิจารณาร่วมกับปัจจัยพื้นฐานและ sentiment ของตลาดในขณะนั้น
- Event: ดัชนี MSCI India ทะลุกรอบแนวต้าน พร้อมทำ Higher high บ่งชี้การกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น และมีสัญญาณการฟื้นตัวของ Domestic Demand และการท่องเที่ยวภายในประเทศ
- Fundamental: เศรษฐกิจและกำไรของตลาดหุ้นอินเดียเติบโตในระดับโดดเด่น ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจ
- Technical: ราคาทะลุแนวต้านและเส้นเฉลี่ย 50 วัน พร้อมทำ Higher high สะท้อนแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน แนวรับสำคัญที่ $47.8
- แนะนำกองทุน: PRINCIPAL INDIAEQ-A
[Theme play คือ กลยุทธ์ที่มองหาโอกาสการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐาน การปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง เทรนด์ และแนวโน้มการลงทุนใหม่ๆ ที่เป็นโอกาสการลงทุน]
Event
- ตลาดหุ้นอินเดีย ดัชนี MSCI India ปรับตัวขึ้นทะลุเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และกรอบแนวต้าน พร้อมทั้ง ราคาทำ Higher high บ่งชี้สัญญาณกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
- เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของ domestic demand ผ่านยอดขายรถ มอเตอร์ไซค์ และการเดินทางภายในประเทศ
- ค่าเงินรูปีเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มเสถียรภาพ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เป็นผลดีต่อการลงทุนประเทศ EM
Fundamental
- เศรษฐกิจอินเดียเริ่มฟื้นตัว โดย GDP คาดว่าจะเติบโต 6.3% ใน FY26 (เริ่ม 1 เม.ย. 2025) ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและการบริโภค
- มาตรการสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยรัฐบาลอินเดียออกมาตรการหลายด้านเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ 1) การลดภาษีเงินได้ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของครัวเรือน 2) งบลงทุนภาครัฐ (public capex) อยู่ในระดับสูงราว 3% ของ GDP 3) มาตรการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน ผ่านการลดภาษีนิติบุคคลสำหรับบางอุตสาหกรรม 4) นโยบายสนับสนุนผู้บริโภค เช่น การลดภาษีให้กับภาคครัวเรือนและการอุดหนุนสินค้าอุปโภคบริโภค
- ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเอื้อต่อเศรษฐกิจ คาดว่า RBI จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้ เนื่องจาก 1) อัตราเงินเฟ้อเริ่มทรงตัวในกรอบ ซึ่งอยู่ในระดับเป้าหมายของ RBI และ 2) RBI ต้องการสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อและการบริโภค (RBI มีท่าที pro growth)
- สินเชื่อเริ่มกลับมาเติบโต โดยการขยายตัวของสินเชื่อภาคธนาคารคาดแตะ 12-14% ในปีนี้และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุน 1) การลดอัตราดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นความต้องการสินเชื่อ 2) ภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลางมีความต้องการกู้ยืมเพิ่มขึ้น 3) RBI สนับสนุนการเติบโตผ่านการเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ
- ค่าเงินรูปีอินเดียคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบที่มีเสถียรภาพมากขึ้น จากปัจจัยสนับสนุน 1) ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ไม่ได้แข็งค่า และ 2) ธนาคารกลางอินเดียยังมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพียงพอ และเริ่มกลับมาทรงตัวหลังจากการปรับลดลงก่อนหน้านี้
- ผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ อินเดียมีแนวโน้มเพิ่มการนำเข้าสินค้ายุทธศาสตร์จากสหรัฐฯ ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางรักษาดุลความสัมพันธ์ทางการค้า และลดแรงกดดันด้านภาษีนำเข้าในระยะข้างหน้า อีกทั้ง อินเดียเป็นประเทศที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้มีโอกาสได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด
- การเติบโตของกำไรคาดว่า EPS ของตลาดหุ้นอินเดียจะเติบโตในระดับที่โดดเด่น โดยมีปัจจัยสนับสนุน จาก 1) ฐานกำไรเปรียบเทียบปีก่อนที่ไม่ได้สูง 2) อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ช่วยหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียน 3) การบริโภคในประเทศฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล 4) Upside Risk หาก RBI ลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด หรือหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วขึ้น อาจทำให้ EPS เติบโตสูงกว่าที่คาด
- Valuation ในปัจจุบันของตลาดหุ้นอินเดียอยู่ในระดับน่าสนใจ โดย Forward P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี
ภาพที่ 1: Valuation ของดัชนี MSCI India อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี

Source: InnovestX Investment Products & Strategy, Bloomberg as of 18 April 2025
Technical
- ตลาดหุ้นอินเดีย iShares MSCI India ETF ราคาทะลุผ่านกรอบแนวต้านและราคาทำ Higher high อาจบ่งชี้ถึงการปรับตัวสู่แนวโน้มขาขึ้น
- ดัชนีราคาทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน สะท้อนโมเมนตัมเชิงบวก
- แนวรับสำคัญ สะท้อนผ่าน iShares MSCI India ETF ที่ $47.8 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของการปรับฐานก่อนหน้า หากราคาไม่หลุดระดับนี้ เทรนด์ขาขึ้นยังคงแข็งแกร่ง
- ดังนั้น แนะนำเข้าลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ระยะการถือครอง 6 เดือนขึ้นไป (Theme play) โดยมองเป้าหมายผ่าน iShares MSCI India ETF ที่ $59.2 และจุด Stop loss ที่ $47.8 ทั้งนี้ การตัดสินใจเข้าหรือออกจาก position จะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและ sentiment ของตลาดในขณะนั้นร่วมด้วย
ภาพที่ 2: iShares MSCI India ETF

Source: InnovestX Investment Products & Strategy, TradingView as of 18 April 2025
กองทุนแนะนำ: PRINCIPAL INDIAEQ-A
จาก Universe กองทุนรวมที่ลงทุนหุ้นอินเดียประเภท Feeder Fund และมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management ของทาง InnovestX มีทั้งหมด 13 กองทุนไทย และ 12 กองทุนหลักด้วยกัน (Update as of 28 Feb 2025)

Source: Fund Factsheet
แนวทางการพิจารณาคัดเลือกกองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A
- คัดเลือกกองทุน Active ที่สามารถเอาชนะชี้วัดได้ในระยะกลาง-ยาวบ่อยมากที่สุด โดยพิจารณาเทียบดัชนีชี้วัดทั้ง MSCI India Index และ NIFTY Index โดยจะเหลือจำนวน 4 กองทุนที่เราได้ทำการกรองออกมา

Source: Morningstar as of 31 Mar 2025
- พิจารณาในเชิงของ Capture Ratio โดยรวมมีค่ามากกว่า 1 แล้วสะท้อนว่าผลการดำเนินงานในส่วนอัตราส่วนของ Upside Capture Ratio (วัดว่ากองทุนปรับตัวขึ้นได้เท่าไรเมื่อเทียบกับช่วงที่ดัชนีปรับตัวขึ้น) สูงกว่า Downside Capture Ratio (วัดว่ากองทุนปรับตัวลงได้เท่าไรเมื่อเทียบกับช่วงที่ดัชนีปรับตัวลง) ขณะเดียวกันในเชิงของผลการดำเนินงานเทียบความเสี่ยงของกองทุนรวมในช่วงที่ผ่านมาว่าเหนือดัชนีชี้วัดไหม (Return/SD) ซึ่งผลการดำเนินงานของทั้ง 4 กองทุนถือว่าอยู่ในกลุ่มที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด

Source: Morningstar as of 31 Mar 2025

Source: Morningstar as of 31 Mar 2025
- อย่างไรก็ตามด้วยกลยุทธ์การลงทุนของทางทีม ที่มองถึงโอกาสในการเติบโตของตลาดหุ้นอินเดีย และมองถึงโอกาสในการฟื้นตัวและเป็นกลุ่ม Domestic Play เราจึงเน้นกลุ่มกองทุนที่มีสัดส่วนการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นขนาดกลางและเล็กในสัดส่วนที่สูงกว่าดัชนีชี้วัด ซึ่งทำให้เหลือ 2 กองทุนได้แก่ Asoka WhiteOak India Opps และกองทุน GS India Equity ซึ่งเราจะพิจารณาเพิ่มเติมในเชิงของความสามารถในการสร้าง Alpha โดยเฉลี่ยในปีที่ตลาดหุ้นอินเดียเป็นขาขึ้น จึงทำการคัดเลือกกองทุนหุ้นอินเดีย PRINCIPAL INDIAEQ-A ที่ลงทุนในกองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opps

Source: Morningstar as of 31 Mar 2025
สรุปจุดเด่นของกองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A
- กองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นอินเดียผ่านกองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund
- กองทุนหลักใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management โดยเทียบดัชนี MSCI India IMI Index ที่ครอบคลุมหุ้นกว่า 99% ของหุ้นอินเดียที่มีสภาพคล่องทั้งหมด
- บริหารโดยคุณ Prashant Khemka ซึ่งผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์กว่า 26 ปี อีกทั้งยังเคยทำงานที่ Goldman Sachs Asset Management India มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 - 2017 ให้กับกองทุน GS India Strategy และ GS Global Emerging Markets Equity Strategy ก่อนที่จะออกมาก่อตั้งบริษัท White Oak Capital Partners ในปี 2017 ที่เป็นผู้บริหารกองทุน Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund
- มีทีมงานขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยทีมนักวิเคราะห์ที่มี Coverage หุ้นในประเทศอินเดียมากถึง 32 ท่านที่คอยให้การสนับสนุน
- เน้นเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพสูง โดยลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของพอร์ตการลงทุนในบริษัทที่มีรายได้หรือกำไรจากภายในประเทศอินเดียเป็นหลัก
- กองทุนยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับปัจจัยด้านมูลค่า โดยจะคัดสรรและเข้าลงทุนเฉพาะในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่ประเมินไว้เท่านั้น เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่ประกอบด้วยหุ้นคุณภาพเยี่ยมและคุณภาพเหมาะสมราว 75 - 150 บริษัท
- กองทุนหลักเน้นเฟ้นหาโอกาสการลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ราว 42% ของพอร์ต (as of 28 Feb 2025)
- ในช่วง 1, 3, 5 ปีที่ผ่านมา กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนได้เหนือดัชนีชี้วัด โดยกองทุนหลักสามารถสร้างผลตอบแทนต่อปีได้เฉลี่ย 6.6%, 7.2% และ 23.2% ตามลำดับ (as of 28 Feb 2025)
- พอร์ตการลงทุนปัจจุบันกระจายลงทุนในกลุ่มอุตสาหกกรรมอย่าง Financials, Consumer Discretionary, Industrials, Health Care, Communication Services เป็นต้น
- พอร์ตการลงทุนปัจจุบันมีการกระจายตัวอยู่ในหุ้นกว่า 150 ตัว โดย Top Holdings ล่าสุด ได้แก่ ICICI Bank, Bharti Airtel, HDFC Bank, Tata Consultancy Services, Bajaj Finserv
กองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ (PRINCIPAL INDIAEQ-A) เป็นกองทุนในกลุ่ม India Equity ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund ที่เน้นลงทุนในหุ้นอินเดียคุณภาพสูง มีมูลค่าเหมาะสมและมีธรรมาภิบาลดี
กองทุนหลักถูกบริหารโดยคุณ Prashant Khemka ซึ่งผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์กว่า 26 ปี อีกทั้งยังเคยทำงานที่ Goldman Sachs Asset Management India มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 - 2017 ให้กับกองทุน GS India Strategy และ GS Global Emerging Markets Equity Strategy นอกจากนี้ กองทุนหลักยังมีทีมงานขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยทีมนักวิเคราะห์ที่มี Coverage หุ้นในประเทศอินเดียมากถึง 32 ท่านที่คอยให้การสนับสนุน และทำการวิเคราะห์หลักทรัพย์ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในด้านปัจจัยพื้นฐาน และประเด็นด้านธรรมาภิบาลอย่างเชิงลึก

Source: WhiteOak as of February 2025
กองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund จะเน้นเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพสูง โดยลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของพอร์ตการลงทุนในบริษัทที่มีรายได้หรือกำไรจากภายในประเทศอินเดียเป็นหลัก ทั้งนี้กองทุนหลักได้ให้คำนิยามของคำว่า “ธุรกิจคุณภาพสูง” ไว้ว่าเป็นกิจการที่สามารถสร้างผลตอบแทนต่อเงินทุนได้ดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว และดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี
ขณะเดียวกัน กองทุนยังให้ ความสำคัญอย่างยิ่งกับปัจจัยด้านมูลค่า โดยจะคัดสรรและเข้าลงทุนเฉพาะในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่ประเมินไว้เท่านั้น เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่ประกอบด้วยหุ้นคุณภาพเยี่ยมและคุณภาพเหมาะสมราว 75 - 150 บริษัท

Source: WhiteOak as of February 2025
ในแง่ของการสร้างพอร์ตการลงทุน ผู้จัดการกองทุนหลักเน้นสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความสมดุล และมีการคุมความเสี่ยงให้เหมาะสม โดยจะลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และพยายามหลีกเลี่ยงการจับจังหวะตลาด ในปัจจุบันพอร์ตการลงทุนมีการกระจายตัวดี โดยลงทุนในหุ้นมากถึง 150 บริษัท
และเนื่องจากทีมผู้จัดการกองทุนเชื่อมั่นว่า การค้นหาหุ้นที่มีระดับราคาที่น่าสนใจมีโอกาสพบเจอในหุ้นขนาดกลางและเล็กมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาด หรือหมายถึงหุ้นขนาดใหญ่มักเป็นที่รู้จักและมีนักวิเคราะห์คอยจับตาระดับราคาที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กนั้นจะมีนักวิเคราะห์ที่ติดตามอยู่ในจำนวนที่น้อยกว่าและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมักไม่ให้ความสนใจในหุ้นประเภทนี้ กองทุนจึงมองหาโอกาสในหุ้นกลุ่มดังกล่าว เห็นได้จากพอร์ตการปัจจุบันซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็กอยู่ราว 42% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025)

Source: WhiteOak as of February 2025
ผู้จัดการกองทุนหลักยังเน้นสร้างผลตอบแทนส่วนเกินจากการคัดเลือกหุ้น (Stock selection) ซึ่งความสามารถในการคัดเลือกหุ้นคุณภาพสูงที่มีมูลค่าเหมาะสมอย่างต่อเนื่องได้ถูกพิสูจน์ผ่านผลการดำเนินในระยะยาวที่มีความโดดเด่น โดยกองทุนหลัก Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund สามารถสร้างผลตอบแทนในช่วง 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ยปีละ 23.2% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2025)

Source: Factset & WhiteOak as of February 2025
กลุ่มอุตสาหกรรม (Update as of 28 Feb 2025)
- Financials 28.3%
- Consumer Discretionary 15.3%
- Information Technology 11.3%
- Industrials 11.3%
- Health Care 9.2%
- Communication Services 8.6%
ตัวอย่างหุ้น 5 ตัวแรกที่พอร์ตการลงทุนถืออยู่ (Update as of 28 Feb 2025)
- ICICI Bank เป็นหนึ่งในธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ของอินเดีย ซึ่งให้บริการทางการเงินครบวงจรทั้งด้านสินเชื่อ เงินฝาก การโอนเงิน และบริการดิจิทัลสำหรับลูกค้ารายย่อยและองค์กร
- Bharti Airtel เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของอินเดีย ให้บริการครอบคลุมทั้งโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ และโซลูชันดิจิทัลในหลายประเทศ
- HDFC Bank เป็นธนาคารเอกชนชั้นนำของอินเดียที่มีความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการทางการเงินครบวงจร
- Tata Consultancy Services เป็นบริษัทไอทีและที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีชั้นนำของอินเดีย ให้บริการด้านซอฟต์แวร์ โซลูชันดิจิทัล และการจัดการธุรกิจแก่ลูกค้าทั่วโลก
- Bajaj Finserv เป็นบริษัทชั้นนำด้านบริการทางการเงินของอินเดีย ให้บริการครอบคลุมทั้งสินเชื่อ ประกันภัย และการบริหารความมั่งคั่ง โดยเน้นนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ผลการดำเนินงานของกองทุนหลักย้อนหลัง (Update as of 31 Mar 2025)
- กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ที่ 6.6% เทียบกับ MSCI India Index ที่ 8%
- กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี เฉลี่ยปีละ 7.2% เทียบกับ MSCI India Index ที่ 6.9%
- กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยปีละ 23.2% เทียบกับ MSCI India Index ที่ 20.5%
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บล.อินโนเวสท์ เอกซ์