- ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ Gulf MTP LNG Terminal (GMTP) เป็นบริษัท JV ร่วมกับ PTT (GULF 70%: PTT Tank terminal 30%) มติอนุมัติให้โครงการเริ่มดำเนินการพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ภายใต้วงเงินลงทุนประมาณไม่เกิน 60,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้าง 4Q25 และ COD ใน 1Q29 หลังจากก่อนหน้านี้ GMTP ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นระยะเวลา 35 ปี เพื่อดำเนินโครงการมาบตาพุด โดยโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วย 1) งานถมทะเลในพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ (พื้นที่หลังท่าและหน้าท่าพร้อมใช้งาน 550 ไร่ และพื้นที่กักเก็บตะกอนดิน 450 ไร่) และ 2) งานพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) ขนาด 5 ล้านตันต่อปี ในเฟสแรก และจะขยายไป 10.8 ล้านตันต่อปีหลังจากนั้น บนพื้นที่ถมทะเลประมาณ 200 ไร่ โดยในส่วนของงานถมทะเลนั้น GMTP ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 และถมทะเลแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยในเดือนมีนาคม 2568
โดยรายได้ของโครงการจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) ค่าบริการส่วนของต้นทุนคงที่ (Demand Charge) ซึ่งจะสะท้อนเงินลงทุน ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปต้นทุน และ 2) ค่าบริการส่วนของต้นทุนแปรผัน (Commodity Charge) ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นต้นทุนแปรผันในการให้บริการ (Variable Cost) ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่แปรผันโดยตรงตามปริมาณ
- เรามองเป็นปัจจัยบวกกับ GULF โดยถือว่าเป็นไปตามแผนงานที่ทาง GULF เคยแจ้งไว้ก่อนหน้านี้ โดยปัจจุบันตัว Return ของโครงการยังต้องรอทางการกกพ.อนุมัติก่อน ซึ่งยังอาจจะต้องใช้เวลา เบื้องต้นเรามองว่าโครงการ Map Ta Phut Port Phase 3 จะมีกำไรประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปี อิง capacity ที่ระดับ 8 ล้านตัน เทียบเพียงกับกำไรของ PTTLNG ที่มี Capacity ประมาณ 17.5 ล้านตัน (Terminal 1: 10 ล้านตันต่อปี และ Terminal 2: 7.5 ล้านตันต่อปี) ที่มีกำไรประมาณ 6-7 พันล้านบาท โดยเราคาดว่ากำไรอาจจะสูงกว่าทาง PTTLNG เนื่องจากทาง GULF สามารถขายให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้าของที่ทาง GULF ดำเนินการผลิตอยู่ จะช่วยลดต้นทุนค่าบริหารจัดการที่เรียกเก็บจาก PTT ได้อีกทางหนึ่งด้วย
- โดยรวมเรายังแนะนำ Outperform สำหรับ GULF ราคาเป้าหมาย 70 บาท อิง DCF valuation