ข้อมูลสำคัญทางเศรษฐกิจในสัปดาห์ที่ผ่านมา
สรุปภาพรวมการลงทุนสัปดาห์นี้
สัปดาห์นี้หุ้นโลกยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐที่เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ระหว่างสัปดาห์ แม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแม้จะผสมผสาน แต่โดยรวมๆ ยังถือว่าเติบโตได้ ขณะที่ท่าทีของประธาน Fed ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ทิศทางดอกเบี้ยขาลงยังคงอยู่ แม้จะระบุว่าต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้นจากเศษฐกิจที่ยังแกร่ง การจ้างงานที่ไม่น่ากังวล ขณะที่เงินเฟ้อขยับขึ้นพียงเล็กน้อย ตลาดยังให้น้ำหนักการลดให้เดือน ธค มากกว่า 70% ภาพดังกล่าวยังตอกย้ำภาพความเป็น Goldilocks ของตลาดหุ้นสหรัฐ นอกจากนั้น และท่าทีของ ปธน.ทรัมป์ที่จะออกนโยบายไม่เข้มงวดอย่างที่ตลาดกังวล รวมถึงแรงสนับสนุนจากความต้องการใน AI ยังอยู่ในระดับที่สูง ทำให้กลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.3% ส่วนกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง 2.2% ตามราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลเรื่องอุปทานล้นตลาดในปี 2025 ตลาดหุ้น EM ปรับขึ้นได้เช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นจีนและอินเดีย โดย Caixin PMI ภาคการผลิตของจีนเพิ่มขึ้นและดีกว่าตลาดคาด รวมถึงมุมมองของตลาดที่เชื่อว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมออกมา ด้านตลาดหุ้นอินเดียเริ่มฟื้น หลังจากอ่อนตัวลงไปแรงในเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจากแรงหนุนกองทุนในประเทศที่ซื้อสุทธิในสัปดาห์นี้ จากเงินไหลเข้ากองทุนประหยัดภาษี รวมถึงเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ นอกจากนั้นยังมีประเด็นบวกสำหรับหุ้นรายตัวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ datacenter จากการเดินทางมาเยือนไทยของ CEO NVIDIA ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง จากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่บรรเทาลง แม้กลุ่ม OPEC+ มีมติเลื่อนการปรับเพิ่มการผลิตโดยสมัครใจออกไป 3 เดือนจาก ม.ค. เป็น เม.ย. 2025 จากความกังวลอุปทานส่วนเกินถึง 1 MBD ในปี 2025
ตลาดหุ้นโลก
สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นจากคำกล่าวของประธาน Fed ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้เมื่อเดือน ก.ย. ทำให้ระมัดระวังมากขึ้นในการปรับลดดอกเบี้ย ขณะที่ข้อมูลภาคบริการ ตลาดแรงงาน และภาคธุรกิจบ่งชี้ว่า Fed สามารถลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น ด้านทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีนำเข้า 100% กับกลุ่ม BRICS หากสร้างสกุลเงินใหม่มาทดแทนดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดหุ้นไทย
ทิศทางตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นจากแรงซื้อของกองทุนในประเทศ ขณะที่มีปัจจัยบวกจากนโยบายรัฐ โดย (1) รมว. คลังของไทย ประกาศแนวทางในการปฏิรูปภาษีในสูตร 15-15-15 ซึ่งจะทำให้ผลกำไรของ บจ. ดีขึ้น (2) เงินเฟ้อเดือน พ.ย. สูงขึ้น 0.95% สูงสุดในรอบ 3 เดือน แต่ต่ำกว่าคาดที่ 1.1% จากฐานต่ำและการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล (3) หอการค้าประเมินความเสียหายน้ำท่วมภาคเหนือและใต้ที่ 0.5% และ 0.06% GDP ตามลำดับ
ตลาดพันธบัตร
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับลดลงมาอยู่ที่ 4.18% ขณะที่ ระยะสั้น 2 ปีปรับลดลงมาที่ 4.15% ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ย 2-10 ปี อยู่ที่ 2 bps
ผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี ลดลงที่ 2.32% ขณะที่ระยะสั้น อายุ 2 ปี ลดลงที่ 1.99% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 2,473 ล้านบาท
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
ราคาน้ำมันดิบ Brent อ่อนตัวลง แม้กลุ่ม OPEC+ มีมติเลื่อนการปรับเพิ่มการผลิตโดยสมัครใจออกไป 3 เดือนจาก ม.ค. เป็น เม.ย. 2025 จากความกังวลอุปทานส่วนเกินถึง 1 MBD ในปี 2025 ด้านราคาทองคำ (spot) เพิ่มขึ้นที่ 2,657.4 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) อ่อนค่าลงที่ 105.77 จุด ขณะที่ค่าเงินเยนแข็งขึ้นที่ 149.76 เยน ด้านค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.05 ดอลลาร์ต่อยูโร ด้านค่าเงินเอเชีย ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นที่ 34.07บาท ขณะที่เงินหยวนทรงตัวที่ระดับ 7.25 หยวน