ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3/2567 พร้อมกลยุทธ์การลงทุนแบบยืดหยุ่นที่ผสมผสานการลงทุนใน 2 ส่วนหลัก ซึ่งแบ่งออกเป็น Core-Satellite Portfolio เพื่อสร้างพอร์ตเติบโตระยะยาว โอกาสทำกำไรระยะสั้น
นักลงทุนทั่วโลกยังคงโฟกัสอยู่ที่ “การลดลงของดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ” เป็นครั้งแรกในปีนี้โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มต้นในเดือนกันยายน ซึ่งอาจส่งผลให้สินทรัพย์การลงทุน เช่น ทองคำ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ พันธบัตรรัฐบาล และอื่น ๆ มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การเติบโตขึ้นของสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลกส่งผลให้ “กลยุทธ์การลงทุนแบบยืดหยุ่น” เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวให้สามารถทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ลงทุนเพื่อรอตลาดฟื้นตัว และสามารถแบ่งเงินเข้ามาลงทุนระยะสั้นเพื่อรองรับการลงทุนในตลาดที่มี Growth สูงและผันผวนหนักได้
โดยหนึ่งในแนวคิดที่ Warren Buffett, John Templeton, John Bogle และ Jeremy Grantham สนับสนุนคือกลยุทธ์แบบ “Core-Satellite Portfolio”
- ปัจจัยด้านการกระต้นการลงทุน (สีม่วง)
- นโยบายการคลังและการเมือง (สีน้ำเงิน)
- ปัจจัยด้านนโยบายการเงิน (สีเขียว)
“ในปีนี้เป็นปีที่นักลงทุนโฟกัสเพียงเรื่องเดียวคือ ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ลดลงหรือไม่ ? แต่เรามักจะบอกกับลูกค้าเสมอว่าถ้าปัจจัยด้านการกระตุ้นการลงทุน (สีม่วง) ยังไม่เกิดขึ้นจริง ต่อให้ดอกเบี้ยลดลง ราคาหุ้นก็ไม่ขึ้น” คุณวิศกรณ์ คีรีวรรณ CFA ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy กล่าว
ต้นปีที่ผ่านมาหุ้น Semiconductor และ AI เติบโตสูงนับตั้งแต่ต้นปี แต่หากตลาดจะไปต่อได้มีอยู่ 2 ทาง ได้แก่
- กำไรของหุ้นสหรัฐฯ ต้องเติบโตต่อและเติบโตมากกว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี
ทั้งนี้เพื่อให้หุ้นสหรัฐฯ 493 ตัว (ไม่รวมหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า) สามารถเติบโตและดันดัชนี S&P 500 ให้สามารถเติบโตต่อไปได้ โดยต้นปีที่ผ่านมาหุ้นสหรัฐฯ เติบโตเพียง P/E อย่างเดียว แต่กำไรไม่โตเท่าที่ควร แต่หากบริษัทสามารถฟื้นกำไรให้เติบโตขึ้นได้ ตลาดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 จะสามารถไปต่อไป
- ตัวเลข PMI ต้องเติบโต
คอยดันให้กำไรบริษัทสหรัฐฯ โต เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าถ้า PMI โต กำไรบริษัทก็จะเติบโต และส่งผลให้สินทรัพย์การลงทุน เช่น หุ้น ทองคำ และอื่น สามารถเติบโตขึ้นได้ ทั้งนี้ FED มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ โดยเริ่มครั้งแรกในเดือนมิถุนายน จาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่า +3%
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่งหลุดจากช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)
ปัจจุบันโลกกำลังอยู่ในช่วงที่ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ มากที่สุดที่ระดับ 5.25 - 5.50% ต่อปี ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนมากกว่าปกติ
แต่อย่างไรก็ตามเราคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะเติบโตได้ในอนาคต ต้องมีปัจจัยมาจากกำไรบริษัทที่เติบโตขึ้นมากกว่าการปรับตัวลดลงของดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ
หุ้นจีนให้ระวังเรืองกับดักมูลค่า (Value Trap) หรือหุ้นถูกแต่ราคาฟื้นตัวขึ้นยากในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันจีนกำลังติดกับดักอยู่ด้วยกัน 2 ปัจจัย
- ราคาหุ้นลงไม่ได้ เพราะ Valuation ถูกเกินไป
- ราคาหุ้นขึ้นไม่ได้ เพราะ ไม่มีตัวกระตุ้นให้เกิด Growth
อย่างไรก็ตามล่าสุด สี จิ้นผิง เตรียมจัดประชุมทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีนหลังจากเลื่อนมา 4 รอบ โดยจะจัดในเดือนกรกฎาคม ปี 2567
ดังนั้นหากเราจะแนะนำการลงทุนในหุ้นจีน ควรโฟกัส “แผนเศรษฐกิจหลักระยะยาวของจีน” ก่อนเริ่มการลงทุน ทั้งนี้เพื่อรอให้ความผันผวนของหุ้นจีนที่เกิดจากการ Price In หมดลงเสียก่อน และเข้าซื้อเพื่อให้เงินเติบโตตามเศรษฐกิจที่เติบโต
อีกทั้งเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 มักเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก และอาศัยการหนุนการเติบโตจากเศรษฐกิจภายนอกประเทศเป็นรอง ส่งผลให้ปัจจัยการเมืองอย่างเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจเข้ามามีบทบาทหลัก
การเปลี่ยนผ่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ ย่อมมีอุตสาหกรรมที่ได้เปรียบเสมอ
หากเราดูย้อนหลังจากการเลือกตั้ง 2 รอบที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า
- Donald Trump : หุ้นกลุ่มพลังงาน และหุ้นกลุ่มธนาคาร ปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 2 ปีแรก
- Joe Biden : หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวสูงขึ้น
ดังนั้นแม้ว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะอยู่ในนโยบายการคลังและการเมือง (สีน้ำเงิน) ซึ่งเป็นปัจจัยรองที่จะช่วยดันราคาหุ้นต่างประเทศและสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงอื่น ๆ
ทำไมกลยุทธ์ Core Portfolio ถึงสำคัญ ?
นักลงทุนมักเกิดคำถามตลอดเวลาว่าเวลาที่ตลาดหุ้นขึ้นหรือลง จังหวะการซื้อหรือขายสินทรัพย์ควรเป็นเมื่อไหร่ ? แน่นอนว่าสินทรัพย์แต่ละอย่างไม่ได้มีผู้ชนะเพียงผู้เดียวตลอดไป กล่าวคือ ไม่มีการลงทุนในสินทรัพย์ใดที่จะทำกำไรได้ตลอดเวลา
สิ่งนี้ทำให้ “กลยุทธ์การลงทุนแบบยืดหยุ่น” หรือการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงแบบ Core Portfolio เข้ามามีบทบาทสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว พร้อมปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เข้ากับตลาดได้อย่างทันท่วงที
โดยหลักแล้ว Core-Satellite Portfolio มักจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
- Core Portfolio
พอร์ตการลงทุนส่วนหลักที่จะเน้นกระจายความเสี่ยงด้านการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ โดยส่วนใหญ่มักเป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่อสร้างผลตอบแทนตามความเสี่ยงที่รับได้โดยไม่จำเป็นต้องจับจังหวะของตลาด
- Satellite Portfolio
พอร์ตการลงทุนส่วนเสริมที่จะเน้นการลงทุนระยะสั้นเพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม โดยเน้นการจับจังหวะตลาดหรือฉวยโอกาสจากการผันผวนของสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร สำหรับนักลงทุนที่มีสไตส์การลงทุนของตนเอง
ห้คุณสร้าง Core Portfolio เพื่อพอร์ตเติบโตระยะยาว พร้อมดีลพิเศษ ฟรี! ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end fee) ที่ InnovestX ตั้งแต่ 1 พ.ค. 67 - 28 มิ.ย. 67 สำหรับกองทุนที่ร่วมรายการ
ข้อมูลกองทุนและรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://invx.info/3UylOEe
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท ฯ กำหนด | สําหรับกองทุนที่ร่วมรายการ การแสดงข้อมูลอัตราค่าธรรมเนียมในแอป InnovestX และ Fund Fact Sheet จะยังคงแสดงเป็นค่าธรรมเนียมปกติ แต่ในขั้นตอนซื้อผู้ลงทุนจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม Front-end fee แบบอัตโนมัติ
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนรวมมีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ
ผู้ลงทุนสามารถขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บล. อินโนเวสท์ เอกซ์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทางอีเมลได้ที่ Facebook : InnovestX