สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 5 - 9 พฤษภาคม 2568
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
ตลาดหุ้นมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช่วงสั้น ๆ จากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า มีความคืบหน้ามากขึ้น หนุน Sentiment ให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวมาในระดับหนึ่งแล้ว อาจทำให้อัพไซด์ในระยะสั้นเริ่มจำกัด สำหรับการลงทุนระยะกลางเรายังชื่นชอบหุ้น ROW มากกว่า เช่น หุ้นจีน A-Shares, หุ้นเทคจีน, หุ้นไทยและ หุ้นอินเดีย และหุ้น Quality
ตราสารหนี้
การลงทุนในตราสารหนี้ยังช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตได้ แม้ระยะสั้นหุ้นมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเราชื่นชอบตราสารหนี้โลกมากกว่าตราสารหนี้ไทย จาก Bond Yield ที่อยู่ในระดับสูงกว่าและมีโอกาสปรับตัวลงตามทิศทางดอกเบี้ย
สินทรัพย์ทางเลือก
ทองคำปรับตัวลงหลังจากทำ All Time High ที่ $3500 เรามองว่าทองคำยังน่าสนใจในระยะยาว แต่ในระยะสั้นคาดว่าทองคำอยู่ในช่วงพักตัว หลังบรรยากาศการลงทุนเข้าสู่โหมด Risk On มากขึ้น สอดคล้องกับเครื่องมือบ่งชี้ต่าง ๆ ส่งสัญญาณว่าทองคำกำลังเข้าอยู่ในช่วงพักฐานในระยะสั้น
[Theme Play]
India Equity: ตลาดหุ้นอินเดียส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยที่ Valuation ยังอยู่ในระดับน่าสนใจ และคาดการณ์กำไรปีนี้เติบโตโดดเด่น ขณะที่ภาคเศรษฐกิจเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ และมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ รวมถึงธนาคารกลางอินเดียที่มีท่าทีส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เศรษฐกิจอินเดียยังพึ่งพา Global Trade น้อย ทำให้ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด อีกทั้งล่าสุดอินเดียใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ นับเป็นสัญญาณบวกต่อหุ้นอินเดียเช่นกัน
China A-Shares: จีนได้ปรับเศรษฐกิจมานานเพื่อเตรียมรองรับสงครามการค้า อีกทั้งรัฐได้หันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน โดย A-Shares ราคายัง Laggard เมื่อเทียบกับ H-Shares จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นโดยเฉพาะหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ปัจจุบันดัชนี CSI 300 มี Valuation ไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว ประเมินดัชนีในระยะยาวมีโอกาสปรับตัวขึ้นที่ 4,450 จุด นอกจากนี้ A-Shares มีความสัมพันธ์ต่อหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ต่ำ ทำให้อาจได้รับผลกระทบจำกัดจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า
U.S. Financials Sector: หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ เคยได้แรงหนุนจากท่าทีนโยบายของ Trump ที่เอื้อประโยชน์ และ Yield Curve ที่มีแนวโน้มชันขึ้น ซึ่งเอื้อต่ออัตรากำไรของกลุ่มการเงิน อย่างไรก็ดี การขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ได้สร้างความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อ แม้จะมีความเสี่ยงในเชิงมหภาค แต่กลุ่มการเงินยังคงมีความน่าสนใจจากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นหุ้นที่มีคุณภาพโดยล่าสุด ผลประกอบการไตรมาส 1/25 ของธนาคารรายใหญ่สหรัฐฯ ออกมาขยายตัวดีและสูงกว่าคาด สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจและความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มนี้
Fixed Income: ผลตอบแทนของตราสารหนี้ (Bond yield) อยู่ในระดับสูงในรอบหลายปี และยังอาจไม่ได้ลดลงในระยะเวลาอันใกล้ จากผลกระทบของการขึ้นภาษีทั่วโลกที่ส่งผลให้เงินเฟ้อเริ่มค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่ช่วยในการกระจายความเสี่ยงที่มีความจำเป็นในภาวะความผันผวนจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นในปีนี้
Vietnam Equity: ตลาดหุ้นเวียดนามสถานการณ์ดูดีขึ้นหลังทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน และรัฐบาลเวียดนามแสดงท่าทีตั้งใจอย่างหนักในการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางเวียดนามยังมีความเสี่ยงเนื่องจากพึ่งพาการส่งออกเกือบ 100% ของ GDP ซึ่งหากสถานการณ์พลิกผัน เศรษฐกิจเวียดนามก็อาจได้รับผลกระทบหนักได้ โดยแนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นเวียดนามเมื่อย่อตัวเท่านั้น ไม่ไล่ราคาในช่วงนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วง 90 วันข้างหน้าที่ทรัมป์ยืดระยะเวลาเก็บภาษีตอบโต้ออกไป
[Event Play]
China Tech: บรรยากาศการค้าจีน-สหรัฐฯ ผ่อนคลายลง หนุนบรรยากาศการลงทุนให้ Risk-on ในระยะสั้น โดยหุ้นเทคจีนได้แรงหนุนจากรัฐบาลจีนที่หันมาสนับสนุนภาคเอกชนและเทคโนโลยีอย่างเต็มสูบตั้งแต่ต้นปี 68 อีกทั้ง Jensen Huang, CEO Nvdia ออกมายอมรับว่า AI จีนไม่ได้ตามหลังสหรัฐฯ แล้ว นอกจากนี้ หุ้นเทคจีนยังมี Valuation ไม่แพง สะท้อนจาก Foward P/E ของดัชนี Hang Seng Tech อยู่ที่ 15.6 เท่า vs ค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 24.2 เท่า vs Mag7 ที่ 24.7 เท่า โดยล่าสุดหุ้นมีสัญญาณกลับตัวจึงมองว่าเป็นจังหวะเข้าลงทุน
TH Equity: เศรษฐกิจไทยอาจได้ประโยชน์ระยะสั้นจากคำสั่งซื้อจากจีน-สหรัฐฯ เนื่องด้วยผลกระทบสงครามการค้า และยังมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นตลาดทุนของภาครัฐ เช่น ThaiESG Extra, Jump+ และ TISA ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่น ทำให้ downside จำกัด โดยดัชนี SET ปิด Gap ช่วงโควิด และยืนระยะแถว 1,100 จุด บวกลบได้ รวมถึงเริ่มมีสัญญาณ Bullish Divergence ขณะที่ราคาลงสู่โซน Oversold บ่งชี้จุดกลับตัว โดยที่ล่าสุดดัชนี SET ปรับตัวขึ้นมาใกล้ 1,200 จุดได้ อย่างไรก็ดี ปัจจัยสงครามภาษีอาจกดดันดัชนีผันผวนสูงได้ แต่ด้วย Valuation ที่ยังถูกเมื่อเทียบกับอดีตและภูมิภาค ทำให้หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ ณ ราคานี้
Global Healthcare: กลุ่ม Global Healthcare ยังน่าสนใจจากลักษณะหุ้นสไตล์ Defensive ท่ามกลางความผันผวนในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การเติบโตของประชากรสูงอายุและความต้องการด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นยังเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ โดยหุ้นเฮลท์แคร์โลกเคลื่อนไหวแข็งแกร่งกว่าดัชนีโลก และ Valuation ยังอยู่ในระดับไม่แพง ในระยะ 3-6 เดือน จึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในกลุ่ม Defensive เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตในช่วงไตรมาส 2 นี้ ซึ่งตรงกับช่วงที่ ปธน.ทรัมป์ ขยายระยะเวลาการเก็บภาษีตอบโต้ออกไป 90 วันพอดี