PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: 14 - 18 April 2025

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|11 Apr 25 2:30 PM
สรุปสาระสำคัญ

สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 14 - 18 เมษายน 2568

 

# ขายตัดขาดทุน หุ้น U.S. Small Cap กองทุน ASP-USSMALL-A

 

มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

ตลาดหุ้นโดยรวมยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนสูงต่อ แม้อาจชะลอในระยะสั้นจากการที่ทรัมป์จะประกาศเลื่อนขึ้นภาษีนำเข้าออกไป 90 วัน แต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนยังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากการตอบโต้กันไปมาที่ยังไม่จบเร็ว โดยให้เน้นกลยุทธ์ลงทุนในกลุ่ม Domestic play และหุ้นสไตล์ Defensive

 

ตราสารหนี้

ในภาวะตลาดที่ยังคงผันผวน และมีความไม่แน่นอนจากประเด็นสงครามการค้า การลงทุนในตราสารหนี้จะช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตได้ โดยเราชื่นชอบตราสารหนี้โลกมากกว่าตราสารหนี้ไทย จาก Bond yield ที่อยู่ในระดับสูงกว่าและมีโอกาสปรับตัวลงตามทิศทางดอกเบี้ย

 

สินทรัพย์ทางเลือก

สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงจะเป็น Upside risk ให้กับทองคำปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น จึงมองว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจจากความเสี่ยงสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ประกอบกับธนาคารกลางยังคงเดินหน้าเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง

[Theme Play]

 

China A-Shares: จีนได้ปรับเศรษฐกิจมานานเพื่อเตรียมรองรับสงครามการค้า อีกทั้งรัฐได้หันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน โดย A-Shares ราคายัง Laggard เมื่อเทียบกับ H-Shares จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นโดยเฉพาะหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ปัจจุบันดัชนี CSI 300 มี Valuation ไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว ประเมินดัชนีในระยะยาวมีโอกาสปรับตัวขึ้นที่ 4,450 จุด นอกจากนี้ A-Shares มีความสัมพันธ์ต่อหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ต่ำ ทำให้อาจได้รับผลกระทบจำกัดจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า

 

U.S. Financials Sector: หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ เคยได้แรงหนุนจากท่าทีนโยบายของ Trump ที่เอื้อประโยชน์ และ Yield Curve ที่มีแนวโน้มชันขึ้น ซึ่งเอื้อต่ออัตรากำไรของกลุ่มการเงิน อย่างไรก็ดี การขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ได้สร้างความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ยังคงน่าสนใจจากการมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและเป็นหุ้นคุณภาพ (Quality) เช่น Berkshire Hathaway มีน้ำหนักในกองทุนแนะนำค่อนข้างมาก จึงยังช่วยรองรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง

 

Fixed Income: ผลตอบแทนของตราสารหนี้ (Bond yield) อยู่ในระดับสูงในรอบหลายปี และยังอาจไม่ได้ลดลงในระยะเวลาอันใกล้ จากผลกระทบของการขึ้นภาษีทั่วโลกที่ส่งผลให้เงินเฟ้อเริ่มค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับความสามารถในการกระจายความเสี่ยงที่มีความจำเป็นในภาวะความผันผวนจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นในปีนี้

 

Vietnam Equity: ตลาดหุ้นเวียดนามสถานการณ์ดูดีขึ้นหลังทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน และรัฐบาลเวียดนามแสดงท่าทีตั้งใจอย่างหนักในการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางเวียดนามยังมีความเสี่ยงเนื่องจากพึ่งพาการส่งออกเกือบ 100% ของ GDP ซึ่งหากสถานการณ์พลิกผัน เศรษฐกิจเวียดนามก็อาจได้รับผลกระทบหนักได้ โดยแนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นเวียดนามเมื่อย่อตัวเท่านั้น ไม่ไล่ราคาในช่วงนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วง 90 วันข้างหน้าที่ทรัมป์ยืดระยะเวลาเก็บภาษีตอบโต้ออกไป

 

[Event Play]

 

TH Equity: ยังคงชื่นชอบหุ้นไทยโดยเน้นหุ้นปันผลเช่นเดิม โดยหุ้นไทยมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นตลาดทุนของภาครัฐ เช่น ThaiESG Extra, Jump+ และ TISA ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่น ทำให้ downside จำกัด โดยดัชนี SET ปิด Gap ช่วงโควิด และยืนระยะแถว 1,100 จุด บวกลบได้ รวมถึงเริ่มมีสัญญาณ Bullish Divergence ขณะที่ราคาลงสู่โซน Oversold บ่งชี้จุดกลับตัว อย่างไรก็ดี ปัจจัยสงครามการค้าอาจกดดันดัชนีระยะสั้นได้ต่อ แต่ด้วย Valuation ที่ยังถูกเมื่อเทียบกับอดีตและภูมิภาค ทำให้หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ ณ ราคานี้

 

Global Healthcare: กลุ่ม Global Healthcare ยังได้แรงหนุนจากการ Rotation จากหุ้น Growth เข้าสู่หุ้น Defensive ท่ามกลางความผันผวนในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยหุ้นเฮลท์แคร์โลกเคลื่อนไหวแข็งแกร่งกว่าดัชนีโลก และ Valuation ยังอยู่ในระดับไม่แพง ในระยะ 3-6 เดือน จึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในกลุ่ม Defensive เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตในช่วงไตรมาส 2 นี้ ซึ่งตรงกับช่วงที่ ปธน.ทรัมป์ ขยายระยะเวลาการเก็บภาษีตอบโต้ออกไป 90 วันพอดี

Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Senior Vice President

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5