CPAXT-HCV
PDF Available  
High Conviction

High Conviction : CPAXT - กำไร 2H67 และปี 2568 จะเติบโตเด่นกว่ากลุ่มพาณิชย์ (ราคาเป้าหมาย 40 บาท)

By ศิริมา ดิสสรา, CFA|3 Oct 24 9:22 AM
สรุปสาระสำคัญ

CPAXT เป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์หลักของกลุ่มพาณิชย์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ดังเห็นได้จาก SSS ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในเดือนก.ย. (เพิ่มขึ้นอย่างน้อยในระดับเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY จากเดือนก.ค.-ส.ค.)  โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน ที่เริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่ 25 ก.ย. เรายังไม่ได้รวม upside จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาไว้ในประมาณการ 4Q67 และปี 2568 ของเรา ด้วย SSS ใน 3Q67 ที่เติบโตดีกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เราจึงคาดว่ากำไร 3Q67 ของ CPAXT จะเติบโต YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น จากนั้นจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้ใน 4Q67 (เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ) ทั้งนี้ภายหลังควบรวมกิจการ synergy จะเริ่มมีให้เห็นใน 4Q67 และชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางปี 2568 และจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะกลาง ปัจจุบันหุ้น CPAXT ซื้อขายที่ PE ปี 2568 ระดับ 28 เท่า สูงกว่า PE ปี 2568 เฉลี่ยของหุ้นในกลุ่มที่ 23 เท่า สะท้อนถึงการที่ CPAXT จะมีกำไรปี 2568 เติบโตดีที่สุดในกลุ่ม (+19% YoY เทียบกับกลุ่มเติบโตเฉลี่ย +14% YoY) เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ CPAXT โดยให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.0% และการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 40 บาท

CPAXT---20241002.jpg

 

ปัจจัยกระตุ้น #1: ยอดขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลใหม่ได้อนุมัติมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ โดยได้เริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่วันที่ 25-30 ก.ย. CPAXT เป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์รายหลักของกลุ่มพาณิชย์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ดังเห็นได้จากโมเมนตัม SSS ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนก.ย. เราประเมิน SSS growth ของ CPAXT ได้ที่ 5% YoY ในธุรกิจ B2C และ 2-3% YoY ในธุรกิจ B2B ในเดือนก.ย. เร่งตัวขึ้นจาก 2% YoY ในธุรกิจ B2C และธุรกิจ B2B ใน 3Q67 โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่ฟื้นตัวดีขึ้นในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร ยอดขายที่ดีขึ้นจากร้านค้าขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตในธุรกิจ B2C และบางส่วนเกิดจากร้าน Eco Plus ในธุรกิจ B2B) และร้านค้าที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด (โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ) ทั้งนี้เรายังไม่รวม upside จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการแจกเงินสด 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน หรือการแจกเงิน 10,000 บาท ที่รัฐบาลตั้งเป้าแจกให้กับประชาชน 30 ล้านคนที่เหลือภายใต้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดและระยะเวลาของมาตรการที่ชัดเจน เราประเมินว่า SSS growth ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1% จะหนุนให้กำไรของ CPAXT เติบโตเพิ่มขึ้น 1%

 

ปัจจัยกระตุ้น #2: กำไร 2H67 จะเติบโตแข็งแกร่ง YoY เราคาดว่ากำไรปกติ 3Q67 ของ CPAXT จะเติบโตโดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันจาก SSS growth ที่แข็งแกร่ง (+2% YoY เทียบกับ -1% YoY ของบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มโดยเฉลี่ย) โดยได้แรงหนุนจากยอดขายสินค้าอาหารที่แข็งแกร่งท่ามกลางยอดขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารที่ฟื้นตัวดีขึ้น สัดส่วนยอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงที่เพิ่มขึ้นทั้งจากธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C และการควบคุมอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขาย (ค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงจากการปิดร้านขนาดเล็กในธุรกิจ B2C ที่ไม่สามารถทำกำไรได้ไปก่อนหน้านี้) แต่จะอยู่ในระดับทรงตัว/ลดลงเล็กน้อย QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ในขณะที่กำไร 4Q67 จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ สู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้

 

ปัจจัยกระตุ้น #3: การปรับโครงสร้างธุรกิจเสร็จสมบูรณ์ โดยมี synergy รออยู่ หลังจากรวมธุรกิจ B2C กับธุรกิจ B2C ผ่านการควบรวมแล้วจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ เราคาดการณ์ถึงผลกระทบที่เป็นกลางในระยะสั้น และผลกระทบเชิงบวกจาก synergy ในระยะกลางถึงระยะยาว เมื่ออิงกับงบการเงินเสมือนก่อนและหลังการทำธุรกรรมดังกล่าวในปี 2565-1H67 รายการที่สำคัญในงบกำไรขาดทุนและงบดุลของ CPAXT นั้นแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง (Figure 5) ในด้าน synergy CPAXT ตั้งเป้า synergy จากการควบรวมไว้ที่ 5 พันลบ. ใน 4Q67 ถึงปี 2570: 2.5 พันลบ. (50%) จะเกิดจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง (เริ่มเห็นใน 4Q67 จากการประหยัดค่าใช้จ่ายใน back office และจะมี synergy ที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางปี 2568 จากการจัดซื้อร่วมกัน และการนำสินค้ามาบรรจุแพ็คเกจขนาดเล็กและขนาดใหญ่เพื่อขาย) และ 2.5 พันลบ. (50%) จากการลดรายจ่ายลงทุน ทั้งนี้เราได้รวมเอา P&L business synergy หลังควบรวมที่ 1.7 พันลบ. ใน 4Q67-ปี 2570 เข้ามาไว้ในประมาณการตามหลักความระมัดระวังแล้ว (ต่ำกว่าเป้าของบริษัทที่ 2.5 พันลบ.) ซึ่งหมายถึงการรวมเอากำไรปกติที่เติบโตเฉลี่ย 3-4% ต่อปีเข้ามาไว้ในประมาณการปี 2568-2570 ของเราไปแล้ว

 

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลและกำลังซื้อ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และการบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติด้านแรงงาน และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (S)

 

Stocks Mentioned
CPAXT.BK
Author
Slide9
ศิริมา ดิสสรา, CFA

หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์

Most Read
Related Articles
Most Read