Derivatives

กลยุทธ์ Covered Call วิธีสร้างรายได้เสริมในช่วงตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน หรือ Sideways

13 May 25 3:34 PM
กลยุทธ์ Covered Call วิธีสร้างรายได้เสริมในช่วงตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน หรือ Sideways
สรุปสาระสำคัญ

ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกเผชิญกับภาวะความผันผวนต่ำและการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideways Market) นักลงทุนจำนวนมากกำลังมองหาเครื่องมือที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการถือครองหุ้นหรือสัญญาฟิวเจอร์สเพียงอย่างเดียว กลยุทธ์ Covered Call จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้เสริมในสภาวะตลาดเช่นนี้

Covered Call คืออะไร

 

กลยุทธ์ Covered Call เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้ในตลาดอนุพันธ์ โดยนักลงทุนถือสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ (เช่น สัญญา Futures ของ SET50) และขาย Call Option ออกไปพร้อมกัน กลยุทธ์นี้เหมาะกับตลาดที่ Sideways หรือขาขึ้นแบบจำกัด คือ ราคาสินทรัพย์อ้างอิงมีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงมากนักภายในช่วงอายุของ Options เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้าง "รายได้เสริม" จากพอร์ตที่มีอยู่ โดยแลกกับโอกาสกำไรสูงสุดบางส่วนจากการขึ้นของตลาด

 

 

กลไกการทำงานของ Covered Call

เพื่อให้เข้าใจกลยุทธ์ Covered Call ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มาดูกลไกการทำงานของกลยุทธ์นี้:

 

เมื่อนักลงทุนขาย Call Options (Short Call) พร้อมกับถือครองสินทรัพย์อ้างอิง เขาจะได้รับค่าพรีเมี่ยมทันทีเมื่อเปิดสถานะ โดยมีหน้าที่ต้องส่งมอบสินทรัพย์หากราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงกว่าราคา Strike Price ที่กำหนดไว้ในวันหมดอายุ
สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้:

 

• ราคาสินทรัพย์ต่ำกว่าราคา Strike Price ในวันหมดอายุ: Options จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า นักลงทุนได้กำไรเท่ากับค่าพรีเมี่ยมที่ได้รับ และยังคงถือครองสินทรัพย์อ้างอิงต่อไป
• ราคาสินทรัพย์สูงกว่าราคา Strike Price ในวันหมดอายุ: Options จะถูกใช้สิทธิ์ นักลงทุนต้องส่งมอบสินทรัพย์ที่ราคา Strike Price และได้กำไรจำกัดเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคา Strike Price กับราคาซื้อเข้า บวกกับค่าพรีเมี่ยมที่ได้รับ

 


Covered Call จะทำงานได้ดีที่สุดในตลาดที่มีแนวโน้มเป็น Sideways

 

เพราะนักลงทุนสามารถรับกำไรจากทิศทางตลาดผ่านสัญญา Futures และรับรายได้เพิ่มเติมจากค่าพรีเมี่ยมที่ขายไป กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะสั้น-กลาง ไม่คาดหวังการพุ่งขึ้นแรงของตลาด และต้องการลดความเสี่ยงจากการถือ Long Futures เพียงอย่างเดียว

 

ขั้นตอนการทำ Covered Call ด้วย SET50 Index Options
1. ถือสถานะ Long Futures ของ SET50 หรือมีพอร์ตที่อิงกับดัชนี SET50 เช่น ETF หรือหุ้นกลุ่มใหญ่ที่เคลื่อนไหวตาม SET50
2. ขาย Call Option ของ SET50 Index  (Short Options) ที่ Out of the Money (OTM) โดยเลือกระยะเวลาหมดอายุให้เหมาะสมกับความต้องการ
3. รอให้สัญญาหมดอายุ หาก SET50 ปิดต่ำกว่าราคา Strike ของ Call Option ที่ขายไว้ นักลงทุนจะได้รับค่าพรีเมี่ยม   (premium) เป็นกำไรทันที  

 

Picture1.jpg

 

ตัวอย่าง:  สมมติเปิดสถานะ Long Futures ของ S50M25 (สัญญาเดือนมิ.ย.) ที่ระดับ 940 จุด  มีหลักประกันขั้นต้น IM = 11,375 บาท  (หลักประกันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามที่ สำนักหักบัญชี TCH กำหนด) แล้ว Short Call Options ที่ Strike 975  S50M25C975 ได้พรีเมี่ยม 10 จุด  มีหลักประกันขั้นต้น IM = 922 บาท (หลักประกันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามที่ สำนักหักบัญชี TCH กำหนด)
ที่มา: https://www.tfex.co.th/th/products/equity/set50-index-options/margin 

 

ถ้าราคาปิด S50M25 ณ วันหมดอายุ

กำไรจาก Long Futures

กำไร/ขาดทุน Call

รวมกำไร/ขาดทุน

940

0

+10

+10

960

+20

+10

+30

975

+35

+10

+45

 

• กำไรสูงสุดจำกัดที่ 45 จุด  (975 - 940 + 10)  คิดเป็นจำนวนเงิน 45 * 200 = 9,000  บาท 
• คิดเป็นผลตอบแทนการลงทุน =  9,000 / (11,375 + 922)  = 73%
• ขาดทุนเมื่อราคาดัชนีต่ำกว่า 940 จุด โดยขาดทุนต่อเนื่องหากลงแรง

 


ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์ Covered Call

 

ข้อดีของกลยุทธ์ Covered Call:

 

1. สร้างรายได้เพิ่มเติม: ช่วยให้นักลงทุนได้รับรายได้จากค่าพรีเมี่ยมเพิ่มเติมจากสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่แล้ว
2. ลดต้นทุนการลงทุน: ค่าพรีเมี่ยมที่ได้รับช่วยลดต้นทุนการถือครองสินทรัพย์อ้างอิง
3. ลดความเสี่ยงขาลง: ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการปรับตัวลงของราคาสินทรัพย์ได้บางส่วน
4. เหมาะกับตลาด Sideways: สร้างผลตอบแทนได้ดีในตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ
5. เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน: ช่วยเพิ่มผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) ของพอร์ตการลงทุน

 

ข้อเสียของกลยุทธ์ Covered Call:
1. จำกัดกำไรสูงสุด: นักลงทุนจะพลาดโอกาสในการรับผลตอบแทนจากการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เกินกว่าระดับ Strike Price
2. ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงขาลงเต็มที่: แม้จะได้รับค่าพรีเมี่ยม แต่นักลงทุนยังคงขาดทุนหากราคาสินทรัพย์ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
3. ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ Options: ต้องเข้าใจกลไกการทำงานของ Options และมีประสบการณ์ในการเลือก Strike Price และระยะเวลาหมดอายุที่เหมาะสม
4. มีต้นทุนค่าธรรมเนียม: การซื้อขาย Options มีค่าธรรมเนียมที่ต้องคำนึงถึง
5. มีความเสี่ยงในการถูกบังคับปิดสถานะ: หากราคาสินทรัพย์ปรับตัวลงอย่างรุนแรง อาจถูกบังคับให้ปิดสถานะหากหลักประกันไม่เพียงพอ

 


สรุปผลตอบแทนและข้อควรระวังกลยุทธ์ Covered Call

 

ผลตอบแทนของกลยุทธ์นี้มาจากค่าพรีเมี่ยม ที่ได้จากการขาย Call ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการถือ Long Futures ลง อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงคือการพลาดโอกาสกำไรหากตลาดปรับตัวขึ้นแรงเกิน Strike รวมถึงยังมีความเสี่ยงขาดทุนจากฝั่ง Long Futures หากตลาดปรับลงแรง ดังนั้น นักลงทุนควรใช้เมื่อคาดว่าตลาดจะไม่ผันผวนมาก


คำเตือน: การลงทุนในอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และไม่ควรลงทุนเกินกว่าระดับที่สามารถรับความเสี่ยงได้

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5