การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจจีนจาก Old Economy ที่ขับเคลื่อนด้วยอสังหาริมทรัพย์ การผลิตแบบดั้งเดิม และโครงสร้างพื้นฐาน สู่ New Economy ที่เน้นเทคโนโลยี นวัตกรรม และการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพ (New Quality Productive Forces) ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 5 ปี ฉบับที่ 15 ที่สนับสนุนการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การรักษาสมดุลระหว่างภายในและภายนอกประเทศ จนนำไปสู่การส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับการสนับสนุนของรัฐบาลในการลงทุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น EV, พลังงานสะอาด, Automation, Biotech และ AI เพื่อสร้างห่วงโซ่มูลค่าภายในประเทศ ส่งผลให้บริษัทนวัตกรรมจีนขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนี ChiNext50 ที่เป็นผู้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมกลายเป็น New Champions ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในยุคต่อไป
CHNXT5023 DR ที่อ้างอิง Invesco ChiNext 50 จึงไม่ใช่แค่กองทุนที่รวมหุ้นเทคโนโลยีจีน 50 ตัว แต่คือพอร์ตบริษัทที่ลงทุน R&D มากที่สุดของจีนในรูปแบบ ETF เพราะเป็นดัชนีที่คัดเลือกเฉพาะบริษัทที่มีสัดส่วนการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาต่อรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด และเป็นผู้เล่นที่รัฐบาลต้องการผลักดันให้เป็นแกนกลางของ New Economy ภายใต้นโยบายอย่าง Made in China 2025 และ Dual Circulation ที่เน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีและการยกระดับห่วงโซ่มูลค่าในประเทศ
บริษัทจำนวนมากในดัชนีนี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับแรงสนับสนุนโดยตรงจากภาครัฐ เช่น EV Battery, พลังงานสะอาด, Automation, Biotech, AI Infrastructure และ Cloud ซึ่งเป็นกลุ่มที่รัฐทุ่มงบ R&D และให้สิทธิประโยชน์ทางนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้าง New Champions ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน ไม่ว่าจะเป็น CATL ผู้นำแบตเตอรี่ EV ระดับโลก ผู้ผลิต Optical Module ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของยุค AI หรือแพลตฟอร์ม Fintech และ Healthcare ที่แปลงบริการพื้นฐานให้กลายเป็นดิจิทัลทั้งหมด ด้วยคุณสมบัตินี้ CHNXT5023 จึงเปิดทางให้นักลงทุนได้ถือบริษัทเทคโนโลยีจีนที่ใช้ R&D เป็นเครื่องยนต์หลัก และมีเส้นทางเติบโตระยะยาวที่ชัดเจนจากแรงผลักดันของรัฐ ทำให้กองทุนนี้ไม่ใช่แค่การลงทุนในหุ้นเติบโต แต่คือการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนที่เปลี่ยนจากเมืองคอนกรีตสู่เศรษฐกิจซิลิคอนที่เติบโตด้วยชิป ซอฟต์แวร์ และข้อมูลอย่างแท้จริง
จาก Old Economy สู่ New Economy: จุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีน
ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนขับเคลื่อนด้วยสามเครื่องยนต์หลัก คือ อสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมการผลิตแบบดั้งเดิม และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เมืองใหญ่ทั้งประเทศเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โรงงานผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลไหลออกสู่ตลาดโลก และโครงการขนาดยักษ์อย่างรางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมเมืองทั่วประเทศ แต่เมื่อเวลาผ่านไป แรงขับแบบเดิมเริ่มชะลอลงจากหนี้ภาคอสังหาฯ ที่พุ่งสูงขึ้น ผลตอบแทนต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ลดลง และจำนวนประชากรวัยทำงานที่หดตัว เครื่องยนต์แบบเดิมจึงเริ่มไม่พอที่จะพาเศรษฐกิจเติบโตต่อไป
เพื่อตอบโจทย์อนาคต จีนเลือกเปลี่ยนเครื่องยนต์จาก Old Economy สู่ New Economy ที่ขับเคลื่อนด้วย เทคโนโลยีและนวัตกรรม แทนปริมาณเหล็ก ปูน และที่ดิน โดยจีนได้ย้ายศูนย์กลางการเติบโตจากการก่อสร้างมาสู่การวิจัยและออกแบบ จากแรงงานต้นทุนต่ำมาสู่ทุนความรู้และซอฟต์แวร์ และจากการส่งออกฮาร์ดแวร์มาสู่แพลตฟอร์มอัจฉริยะที่สร้างมูลค่าซ้ำได้
นโยบายระดับชาติกลายเป็นตัวเร่งสำคัญ เช่น แผน Made in China 2025 ที่ยกระดับอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อากาศยาน อุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูง และ ยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) พร้อมกับ Dual Circulation Strategy ที่ส่งเสริมตลาดภายในประเทศให้เติบโตควบคู่ไปกับการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลยังเร่งลงทุน R&D ใน AI, Robotics, Clean Energy และ Healthcare เพื่อต่อยอดความสามารถทางเทคโนโลยีและสร้างห่วงโซ่มูลค่าภายในประเทศ
ผลลัพธ์คือการเกิดขึ้นของ New Champions หรือบริษัทจีนที่เติบโตจากนวัตกรรม ไม่ใช่ปริมาณการผลิต ตั้งแต่ CATL ผู้นำแบตเตอรี่ EV ระดับโลก ไปจนถึง ผู้ผลิต Optical Module และ Cloud Infrastructure ที่รองรับยุค AI รวมถึง แพลตฟอร์ม Fintech และ Healthcare ที่ทำให้บริการพื้นฐานกลายเป็นดิจิทัลและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เศรษฐกิจจีนจึงค่อยๆ เปลี่ยนจาก “เมืองคอนกรีต” ไปสู่เศรษฐกิจซิลิคอนที่ขับเคลื่อนด้วย ชิป ซอฟต์แวร์ และข้อมูล
ตลาด ChiNext เป็นเวทีสำคัญของการเปลี่ยนผ่านนี้ ก่อตั้งในปี 2009 เพื่อบ่มเพาะบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีน ถือเป็น “เรือนเพาะชำของ New Economy” อย่างแท้จริง ดัชนี ChiNext 50 ซึ่งรวบรวมบริษัทขนาดใหญ่ 50 แห่งที่โดดเด่นด้าน R&D และการเติบโต จึงเป็นภาพสะท้อนชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจีนสู่ยุคใหม่
ลักษณะและนโยบายการลงทุนของกองทุน
ETF นี้อ้างอิงดัชนี SZSE ChiNext 50 Index ซึ่งคัดเลือกหุ้น 50 บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง และมีการลงทุน R&D ในสัดส่วนต่อรายได้สูง ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลักของ New Economy เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (NEV & Battery), พลังงานสะอาด, Automation, Healthcare, Biotech และ Fintech โดยกลุ่ม Technology และ Industrial รวมกันคิดเป็นกว่า 60% ของพอร์ต
ด้วยค่าธรรมเนียม TER เพียง 0.20% ต่อปี ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ ETF อื่นที่อ้างอิงดัชนีเดียวกัน Invesco ChiNext 50 ETF จึงเป็นทางเลือกคุ้มค่าทั้งในด้านต้นทุนและโอกาสการเติบโตระยะยาว
ตัวอย่างโครงสร้างพอร์ตและบริษัทหลักในกองทุน (Top Holdings Overview)
หมายเหตุ: บริษัทในดัชนีอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามข้อมูลล่าสุดของผู้ออกกองทุน Invesco ChiNext Factsheet
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของ ChiNext 50 ETF
ความเสี่ยงและสิ่งที่ควรระวัง
แม้ New Economy ของจีนจะมีศักยภาพสูง แต่ยังเผชิญความผันผวนจาก นโยบายรัฐที่เข้มงวดต่อ Tech Platform, การแข่งขันระดับโลกใน EV และ AI และภาวะเศรษฐกิจภายในที่อยู่ระหว่างปรับตัว อย่างไรก็ตาม การสนับสนุน R&D ของรัฐ และการเปิดตลาดทุนมากขึ้น ยังเป็นแรงหนุนเชิงโครงสร้างที่ช่วยจำกัดความเสี่ยงระยะยาว
สนใจลงทุนใน DR CHNXT5023 (Invesco Great Wall SZSE ChiNext 50 ETF) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน
คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน