สืบเนื่องจาก อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ จนไปถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีทางการทหาร ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่มีเซมิคอนดักเตอร์เป็นรากฐานสำคัญ ส่งผลให้การแข่งขันทางด้านเซมิคอนดักเตอร์เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของชาติมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรือจีน นำพาไปสู่การเกิด “Tech war” ซึ่งกีดกันชาติฝ่ายตรงข้ามในการพัฒนาเทคโนโลยี ส่งผลให้รัฐบาลจีนมีนโยบายพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของชาติ และเร่งพัฒนาเทคโนโลยีในฝั่งเซมิคอนดักเตอร์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
ด้วยเหตุดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันจีนกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นจากแรงหนุนเชิงนโยบายและการลงทุนภายในประเทศ ภายใต้เป้าหมาย “Made-in-China Chips” ที่ตั้งเป้าผลิตชิปได้เอง 70% ภายในปี 2027 เพื่อยกระดับความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาต่างประเทศ CNSEMI23 (ดัชนี Global X China Semiconductor) จึงถูกออกแบบมาเพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงการเติบโตของห่วงโซ่เซมิคอนดักเตอร์จีนแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงอุปกรณ์และโซลูชันสนับสนุน
DR23 ตัวนี้อ้างอิงจาก FactSet China Semiconductor Index และรวมบริษัทสำคัญ ตัวอย่างเช่น SMIC, Montage Technology, NAURA, BOE, และ GigaDevice ซึ่งเป็นแกนหลักของอุตสาหกรรมชิปจีน การเติบโตได้รับแรงผลักจากช่องว่างดีมานด์–ซัพพลาย การเพิ่ม CAPEX ในประเทศ และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เร่งให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ขณะที่ความเสี่ยงยังคงอยู่ในด้านนโยบายและวัฏจักรอุตสาหกรรม กองทุนนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนระยะกลางถึงยาวที่มองเห็นศักยภาพของ “ชิปจีน” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเทคโนโลยีโลกในทศวรรษหน้า
จากสงครามการค้า สู่สงครามเทคโนโลยี: จุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์ ‘Made-in-China Chips’
ตั้งแต่ปี 2018 สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ค่อยๆ พัฒนาไปสู่ “สงครามเทคโนโลยี” หรือ Tech War การแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำโลกด้านนวัตกรรมและความมั่นคงทางดิจิทัล โดยมีชิปหรือเซมิคอนดักเตอร์เป็นหัวใจสำคัญของสมรภูมินี้
สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการเข้มงวดต่อบริษัทเทคโนโลยีของจีน เช่น Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชี Entity List ในปี 2019 และ SMIC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่สุดของจีนที่ถูกจำกัดการเข้าถึงอุปกรณ์ผลิตชิปในปี 2020 รวมถึงการออก CHIPS and Science Act ในปี 2022 ที่อัดเงินสนับสนุนมหาศาลเพื่อดึงห่วงโซ่อุปทานกลับสู่สหรัฐฯ และควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญไปยังจีน มาตรการเหล่านี้ตัดช่องทางที่จีนจะเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูง เช่นเครื่องจักร EUV จาก ASML หรือชิป AI จาก NVIDIA โดยตรง
แรงกดดันนี้ทำให้รัฐบาลจีนต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากผู้นำเข้าเทคโนโลยีไปสู่ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเองภายใต้นโยบาย “Made in China 2025” ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศสามารถผลิตชิปได้เองอย่างน้อย 70% ภายในปี 2027 รัฐบาลได้จัดตั้ง กองทุนพัฒนาอุตสาหกรรมชิปแห่งชาติ (Big Fund) มูลค่าหลายแสนล้านหยวนเพื่ออัดฉีดเงินให้บริษัทจีนในทุกช่วงของห่วงโซ่อุตสาหกรรม ตั้งแต่การออกแบบ (IC Design/Fabless) การผลิต (Foundry) อุปกรณ์ผลิต (SPE) ไปจนถึงวัสดุขั้นสูง
นอกจากนี้ จีนยังได้เริ่มใช้มาตรการสร้างดีมานด์ภายในประเทศ โดยออกข้อกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ลดการใช้ชิปจากต่างประเทศและหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจีนแทนเช่น การจำกัดการใช้ Intel และ AMD ในคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานรัฐ รวมถึงแผนของผู้ให้บริการโทรคมนาคมขนาดใหญ่ที่จะเลิกใช้ชิปต่างชาติภายในปี 2027 รัฐบาลยังได้ออกข้อบังคับให้ ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ ต้องใช้ชิป AI ที่ผลิตในจีนเท่านั้น ซึ่งสะท้อนชัดว่าความจำเป็นในการผลิตชิปเอง ได้กลายเป็นนโยบายระดับชาติ
ในวันนี้ จีนบริโภคชิปกว่า 35% ของทั้งโลก แต่ผลิตได้เองเพียง 7% ความเหลื่อมล้ำนี้คือแรงกดดันและโอกาสของบริษัทในจีน รัฐบาลจึงมองว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ คือรากฐานของความมั่นคงทางเทคโนโลยี ที่จะทำให้ประเทศสามารถยืนอยู่ได้ท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกในยุค AI และ Digital Economy
ดังนั้น การผลักดันให้จีนผลิตชิปเอง ไม่ใช่เพียงการตอบโต้สงครามการค้า แต่คือการวางรากฐานระยะยาวของอำนาจเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 และนี่เองคือที่มาของธีม “Made-in-China Chips” ซึ่ง CNSEMI23 DR23 จาก InnovestX ที่อ้างอิงกองทุน Global X China Semiconductor ETF ได้ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงคลื่นการเติบโตนี้โดยตรง ในช่วงเวลาที่ประเทศจีนกำลังเร่งสร้างหัวใจเทคโนโลยีของตนเอง
จังหวะเร่งของอุตสาหกรรมชิปจีน
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์คือหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่ AI ไปจนถึง ยานยนต์ไฟฟ้า และจีนกำลังเร่งไล่ตามสหรัฐฯ อย่างจริงจัง รัฐบาลจีนตั้งเป้าให้ประเทศผลิตชิป AI ได้เองอย่างน้อย 70% ภายในปี 2027 เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ เป้าหมายนี้ไม่เพียงเป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงเทคโนโลยี แต่ยังเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการลงทุนครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมชิปจีน CNSEMI23 DR23 ที่อ้างอิงดัชนี Global X China Semiconductor ETF เป็นทางเลือกที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงบริษัทชั้นนำในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนแบบครบวงจร
ลักษณะและนโยบายการลงทุนของกองทุน
CNSEMI23 DR อ้างอิง Global X China Semiconductor ETF (3191.HK) ที่มุ่งลงทุนในบริษัทจีนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบวงจรรวม (IC Design/Fabless), การผลิต (Foundry), การประกอบและทดสอบ (OSAT) จนถึงผู้ผลิตเครื่องจักร (SPE) กองทุนติดตามผลตอบแทนของ FactSet China Semiconductor Index ซึ่งออกแบบมาให้สะท้อนการเติบโตของห่วงโซ่อุตสาหกรรมชิปในจีนแบบครบห่วงโซ่ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงธีม “Made-in-China” ผ่านการลงทุนที่กระจายครบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ตัวอย่างโครงสร้างพอร์ตและบริษัทหลักในกองทุน (Top Holdings Overview)
Global X China Semiconductor ETF ลงทุนในบริษัทชั้นนำที่ครอบคลุมทุกช่วงของห่วงโซ่การผลิตชิป ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงอุปกรณ์และโซลูชันสนับสนุน โดยตัวอย่างหุ้นหลักได้แก่:
หมายเหตุ: บริษัทในดัชนีอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามข้อมูลล่าสุดของผู้ออกกองทุน Global X Factsheet
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของธีมเซมิคอนดักเตอร์จีน
จีนบริโภคชิปมากถึง 35% ของทั้งโลก แต่กำลังการผลิตในประเทศยังอยู่เพียง 7% ของโลก ทำให้อัตราการพึ่งพาตนเอง (localization rate) อยู่เพียง 24% ในปี 2024 ความไม่สมดุลนี้กลายเป็น “โอกาสทางการเติบโต” สำหรับผู้ผลิตท้องถิ่นที่กำลังขยายกำลังการผลิตอย่างรวดเร็ว
หลังจากสหรัฐฯ เริ่มจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ภายใต้ US CHIPS Act ปี 2022 บริษัทจีนเร่งลงทุนขยายโรงงานและพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าและป้องกันผลกระทบจากมาตรการควบคุมการส่งออก การเพิ่ม CAPEX นี้กลายเป็นแรงผลักสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม
ปี 2023 ถือเป็นช่วงปรับฐานของอุตสาหกรรม จากปัญหาสินค้าคงคลังส่วนเกินและความต้องการที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา การผลิตวงจรรวม (IC) ของจีนกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มการฟื้นตัวมีความชัดเจนมากขึ้นในปี 2025
รัฐบาลจีนจัดตั้ง China Integrated Circuit Industry Investment Fund (CICIIF) เฟส 3 มูลค่า 344,000 ล้านหยวน และต่อมาเพิ่มอีก 2 กองทุนรวมมูลค่า 160,000 ล้านหยวนในต้นปี 2025 เพื่อสนับสนุนผู้เล่นท้องถิ่นทั้งในด้านเทคโนโลยี การผลิต และการระดมทุนเชิงโครงสร้าง
มาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ และข้อจำกัดในการเข้าถึงชิป AI หรือเทคโนโลยี sub-7nm กลายเป็นแรงผลักดันให้จีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและห่วงโซ่ในประเทศเอง เมื่อรวมกับความได้เปรียบด้านต้นทุนและความยืดหยุ่นของบริษัทจีน จึงยิ่งหนุนแนวโน้มการเติบโตของผู้ผลิตท้องถิ่น
เปรียบเทียบ CNSEMI23 DR23 กับหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ไทย
เมื่อเทียบภาพรวม CNSEMI23 DR23 กับหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ไทยขนาดใหญ่ เช่น DELTA, KCE และ HANA จะเห็นความต่างของตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานค่อนข้างชัด หุ้นไทยส่วนใหญ่ทำธุรกิจในช่วงกลางน้ำถึงปลายน้ำ และเป็น OEM/EMS ให้ลูกค้าต่างประเทศ เช่น DELTA ที่เชี่ยวชาญพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์และโซลูชันสำหรับ Data Center และ EV, KCE ผู้ผลิต PCB (Printed Circuit Boards) รายสำคัญของโลกในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และ HANA ที่ทำ EMS + OSAT (Electronics Manufacturing Service + Outsourced Semiconductor Assembly and Test) ประกอบและทดสอบชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ให้ลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งทำให้ธุรกิจไทยในอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะธุรกิจอย่าง HANA มักมีอำนาจต่อรองด้านราคาต่ำ เนื่องจากมีซัพพลายเออร์ทดแทนจากจีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่ลูกค้าสามารถย้ายออร์เดอร์ได้ง่าย ทำให้การตั้งราคามีข้อจำกัด ขณะที่มาร์เก็ตแคปของทั้งสามบริษัท อยู่ที่ราว 2.72 ล้านล้านบาทสำหรับ DELTA (8.4 หมื่นล้านดอลลาร์), 2.6 หมื่นล้านบาทสำหรับ KCE (800 ล้านดอลลาร์) และ 1.6 หมื่นล้านบาทสำหรับ HANA (500 ล้านดอลลาร์) แม้ขนาดบริษัทจะถือว่ามีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่โดยเฉพาะ DELTA ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ แต่บริษัททั้ง 3 ไม่ได้ถือเทคโนโลยีชิปตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ได้มี economies of scale และเม็ดเงินในการลงทุนด้าน R&D แบบผู้เล่นรายใหญ่ของจีน
หากพิจารณาถึง Global X China Semiconductor ETF (3191.HK) ที่ลงทุนครอบคลุมระบบนิเวศชิปจีนแบบครบทั้งซัพพลายเชน ตั้งแต่ Foundry อย่าง SMIC, Fabless ชั้นนำอย่าง Montage Technology และ GigaDevice ไปจนถึงผู้ผลิตเครื่องจักรผลิตชิปอย่าง Naura บริษัทเหล่านี้มีมาร์เก็ตแคประดับหลายหมื่นล้านถึงหลายแสนล้านหยวน เช่น GigaDevice ราว 1.4 แสนล้านหยวน (1.9 หมื่นล้านดอลลาร์) และ Naura ประมาณ 2.9 แสนล้านหยวน (4.1 หมื่นล้านดอลลาร์) ขณะที่ผู้เล่นสาย OSAT/EMS อย่าง JCET, Tongfu และ Wingtech ที่มีการทำธุรกิจคล้าย HANA มีมาร์เก็ตแคปขนาดระดับหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งใหญ่กว่า KCE และ HANA หลายเท่าตัว ซึ่งขนาดของบริษัทจีนที่ใหญ่ส่งผลให้มีความได้เปรียบด้านการผลิตผ่าน economies of scale รวมถึงมีการลงทุนในการวิจัยพัฒนา (R&D) จำนวนมาก ซึ่งเป็นหัวใจการพัฒนาเทคโนโลยีชิปในประเทศ
ความได้เปรียบนี้ ยิ่งชัดขึ้นเมื่อมองปัจจัยโครงสร้างที่หนุนอุตสาหกรรมอยู่เบื้องหลัง จีนเป็นตลาดลงทุนเครื่องจักรผลิตชิปใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่ากว่า 36.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 38 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งสะท้อนดีมานด์ภายในประเทศที่แข็งแรงและต่อเนื่อง ต่างจากฝั่งไทยที่พึ่งพาออร์เดอร์ส่งออกเป็นหลัก ทำให้ CNSEMI23 DR23 เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงคลื่นการเติบโตเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมชิปจีน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงเครื่องจักร ขณะที่การถือ DELTA, KCE และ HANA ช่วยเสริมความหลากหลายของพอร์ตในมุมผู้ผลิตปลายน้ำที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในตลาดโลก
ความเสี่ยงและสิ่งที่ต้องระวัง
แม้ธีมนี้จะมีศักยภาพการเติบโตระยะยาว แต่ก็มีความผันผวนเชิงนโยบายสูง นักลงทุนควรระวังปัจจัยจากภูมิรัฐศาสตร์ เช่น มาตรการส่งออกเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ การกำกับดูแลภายในประเทศ และการแข่งขันระดับโลก อาจทำให้ผลตอบแทนระยะสั้นเหวี่ยงแรง
สนใจลงทุนใน DR CNSEMI23 (Global X China Semiconductor ETF (3191.HK) )และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน
คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน