สรุปสาระสำคัญ
การอ่านกราฟ เป็นหนึ่งในทักษะที่นักลงทุนจะต้องมี โดยเฉพาะมือใหม่ที่กำลังศึกษาการเล่นหุ้น จะต้องเริ่มจากการศึกษาวิธีดูกราฟ เพื่อทำนายแนวโน้มราคาได้อย่างแม่นยำ และรู้จุดซื้อและขายอย่างเหมาะสม เพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว
วิธีการอ่านกราฟลงทุนมีกี่รูปแบบที่นิยมใช้
กราฟหุ้นเป็นเครื่องมือที่นักลงทุนเอาไว้ใช้วิเคราะห์แนวโน้มของราคาในอนาคต โดยดูจากราคาหุ้นในอดีต ซึ่งสามารถดูได้หลายรูปแบบ โดยกราฟที่ได้รับความนิยมใช้มีด้วยกัน 4 แบบ ดังต่อไปนี้
กราฟแท่งเทียน (Candlesticks)
เป็นกราฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน สามารถแสดงความเคลื่อนไหว อ่านค่าง่าย โดยกราฟแท่งเทียนจะมีส่วนประกอบหลัก 3 อย่างคือ ตัวเนื้อเทียน ตัวไส้เทียนด้านบน และตัวไส้เทียนด้านล่าง โดยแบ่งการอธิบายออกเป็น 2 สี คือ
⦁ แท่งเทียนสีเขียว แสดงถึงราคากราฟที่เพิ่มขึ้น
⦁ แท่งเทียนสีแดง แสดงถึงราคากราฟที่ต่ำลง
กราฟเส้น (Line Chart)
เป็นกราฟที่แสดงจุดราคาปิดในแต่ละวัน แล้วลากต่อเนื่องกัน สามารถใช้ดูแนวโน้มของราคาว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือช่วงขาลง เป็นกราฟที่อ่านค่าง่าย เหมาะสำหรับการสอนดูกราฟหุ้นสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มลงทุน
กราฟแท่ง (Bar Chart)
มีลักษณะคล้ายกับกราฟแท่งเทียน แต่มีลักษณะเป็นเส้นตรง โดยกราฟแท่งจะแสดงราคาเปิดและราคาปิดของแต่ละวัน
กราฟจุด (Point and Figure Chart)
เป็นกราฟที่ใช้ x และ o แทนการขึ้นลงของราคา โดย x จะใช้แสดงเวลาที่ราคาสูงขึ้น และ o แสดงตอนที่ราคาต่ำลง
การวิเคราะห์แนวโน้มตลาด
การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด (Trend) เป็นหนึ่งในสิ่งที่นักลงทุนจะต้องมองให้ขาด รู้ว่าช่วงไหนกราฟขึ้นหรือลงซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวควรจะซื้อ ขาย หรือรอดูท่าทีก่อน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
⦁ แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) เป็นช่วงที่ราคากำลังปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ เส้นกราฟก็มีแนวโน้มสูงขึ้นไปทางขวาเรื่อย ๆ
⦁ แนวโน้มขาลง (Downtrend) เป็นช่วงที่ราคากำลังปรับตัวต่ำลง เส้นกราฟมีแนวโน้มลดลงไปเรื่อย ๆ
⦁ แนวโน้มออกข้าง (Sideway) เป็นช่วงที่ราคาไม่มีความชัดเจน เคลื่อนไหวในที่แคบ ส่วนมากแนะนำให้รอดูท่าทีก่อนตัดสินใจลงทุน
วิธีระบุแนวโน้มตลาด
⦁ เส้น EMS หรือ Exponential Moving Average โดยเป็นการใช้เส้นค่าเฉลี่ยแสดงความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด โดยให้น้ำหนักราคาล่าสุดมากกว่าราคาในอดีต โดยสามารถดูแนวโน้มของราคาได้ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เป็นการวิเคราะห์โดยการใช้ข้อมูลทางสถิติ
⦁ เส้น TrendLine เป็นเส้นที่ลากเชื่อมจุดสูงสุดและต่ำสุดของราคา เพื่อดูแนวโน้มของตลาด และใช้เป็นจุดแนวรับ และแนวต้าน
รู้จักแนวรับ-แนวต้านก่อนเริ่มลงทุน
แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นพื้นฐานของนักลงทุนสายเทคนิค ที่ช่วยทำให้เข้าใจพฤติกรรมของราคาในตลาด โดยช่วยระบุจุดซื้อและขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวรับคืออะไร ?
แนวรับ คือ ระดับราคาที่สินทรัพย์มีโอกาสเปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้น โดยคาดว่าจะมีแรงซื้อเพิ่มในจุดดังกล่าว ทำให้ราคาจะไม่ต่ำไปกว่าจากนี้ ส่งผลให้นักลงทุนส่วนมากจะเข้าซื้อที่จุดนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งราคาก็ทะลุแนวรับลงไป และลดลงอย่างต่อเนื่องจนเจอกับแนวรับแนวใหม่
แนวต้านคืออะไร ?
แนวต้าน คือ ระดับราคาที่สินทรัพย์มีโอกาสเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยคาดว่าจะมีแรงขายเพิ่มขึ้นในจุดดังกล่าว ทำให้ราคาไม่เพิ่มสูงขึ้นไปอีก ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ เทขายในจุดนั้น แต่อย่างไรก็ตาม หากมีแรงซื้อมากพอราคาก็อาจจะทะลุแนวต้านขึ้นไปเช่นเดียวกัน จนกว่าจะเจอแนวต้านใหม่ และแนวต้านเดิมก็อาจจะกลายเป็นแนวรับใหม่ได้เช่นเดียวกัน
การใช้แนวรับ-แนวต้าน ในการวิเคราะห์กราฟ
นักลงทุนมักจะใช้เส้นแนวนอน เพื่อระบุแนวรับ-แนวต้าน เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับก็จะตัดสินใจซื้อ และเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านก็จะขายเพื่อป้องกันความเสียหาย
การใช้อินดิเคเตอร์ เพื่อการวิเคราะห์กราฟ
อินดิเคเตอร์ (Indicator) เป็นตัวช่วยที่ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าใจและวิเคราะห์แนวโน้มของราคาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน
Moving Average
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็นการหาค่าเฉลี่ยของราคาหุ้น โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังมาคำนวณ ตามช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อประกอบการตัดสินใจ นักลงทุนส่วนใหญ่จะใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่ 50 วัน, 100 วัน และ 200 วัน ซึ่งเหมาะสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวตามลำดับ
RSI (Relative Strength Index)
เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มราคา ซึ่งเป็นเครื่องมือเทคนิคประเภท Momentum ใช้วัดอัตราส่วนของราคาตลาดในช่วงขาขึ้นเทียบกับอัตราส่วนของราคาในช่วงขาลง มีค่าอยู่ที่ 0-100
⦁ ต่ำกว่า 30 ภาวะขายมากไป (Oversold) เป็นช่วงที่ราคาปรับลดลงจากแรงขาย ทำให้มีราคาถูกลง และมีแนวโน้มจะถูกซื้อกลับ หรือมีโอกาสที่ราคาจะรีบาวด์ปรับตัวสูงขึ้น
⦁ มากกว่า 70 ภาวะซื้อมากไป (Overbought) เป็นช่วงที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นจากแรงซื้อ ทำให้มีราคาแพงขึ้น และมีแนวโน้มจะถูกเทขาย หรือ มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลดลง
MACD (Moving Average Convergence Divergence)
เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่ช่วยดูสัญญาณซื้อขาย โดยการวิเคราะห์โมเมนตัมของตลาด มีแนวคิดจากการหาค่าความแตกต่างระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 เส้น และสามารถใช้ค่าความต่างนี้ที่เรียกว่า MACD นำมาเทียบกับ Signal line เพื่อจับจังหวะในการซื้อขายหุ้น
การอ่านกราฟแบบ Real Time ช่วยวิเคราะห์หุ้นอย่างมืออาชีพ
นักลงทุนมือใหม่ที่ไม่อยากกลายเป็นแมลงเม่า ต้องศึกษาวิธีการอ่านกราฟอย่างแม่นยำ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญ รวมถึงวินัยในการเทรด เพื่อที่จะตัดสินใจลงทุนได้อย่างรอบคอบ
การดูกราฟหุ้นแบบ Real Time ช่วยให้สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที จึงเป็นหัวใจสำคัญในการลงทุน ซึ่ง TradingView เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ทั่วโลกนิยมใช้ โดยมีจุดเด่นดังนี้
⦁ มีเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่ครบถ้วน
⦁ มีกราฟ Real Time ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคาทันที
⦁ ใช้งานง่าย แม้แต่มือใหม่ก็สามารถใช้งานได้
การอ่านกราฟเป็น จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของราคาและสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และหากต้องการ
ดูกราฟหุ้นแบบ Real Time ต้องไม่พลาดที่จะเทรดบนแอป InnovestX เพราะสามารถใช้ TradingView ได้แบบฟรี ๆ มีทั้งกราฟ เครื่องมือ และอินดิเคเตอร์สำหรับสายเทคนิค นอกจากนี้ยังมีครบทุกการลงทุน ดาวน์โหลดเลย
คำเตือน
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน