EBITDA คือหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้วิเคราะห์ผลประกอบการของบริษัท โดยนักลงทุนมักใช้เพื่อประเมินความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจโดยไม่รวมต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานหลัก ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบบริษัทต่าง ๆ ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
EBITDA ย่อมาจาก Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization หมายถึง กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เป็นตัวเลขที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะตัดปัจจัยที่อาจทำให้ตัวเลขกำไรสุทธิแตกต่างกันออกไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเทียบกับตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น EBIT หรือ Net Profit ตัว EBITDA จะเน้นที่ความสามารถของธุรกิจในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน โดยไม่รวมถึงผลกระทบจากโครงสร้างทางการเงินและนโยบายภาษีของบริษัท
สูตรมาตรฐานของ EBITDA คือ
EBITDA = กำไรสุทธิ + ดอกเบี้ยจ่าย + ภาษีเงินได้ + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
ตัวอย่างเช่น หากบริษัท A มีตัวเลขดังนี้
จะได้ EBITDA = 50 + 10 + 15 + 20 + 5 = 100 ล้านบาท
EBITDA Margin คือ อัตราส่วนที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่าธุรกิจสามารถทำ EBITDA ได้มากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมด สามารถคำนวณได้จากสูตร
EBITDA Margin = (EBITDA ÷ รายได้รวม) × 100
EBITDA Margin ที่สูง จะบ่งชี้ว่าบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี และมีประสิทธิภาพในการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยของ EBITDA Margin จะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม นักลงทุนจึงควรเปรียบเทียบค่า EBITDA Margin กับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
EBITDA มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์หุ้น นักลงทุนสามารถใช้เพื่อประเมินศักยภาพของบริษัทโดยไม่ต้องคำนึงถึงต้นทุนทางการเงินหรือกลยุทธ์ทางภาษี นอกจากนี้ ยังใช้ร่วมกับอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ เช่น EV/EBITDA ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบมูลค่าของบริษัทได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ EBITDA จะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น ไม่สะท้อนถึงกระแสเงินสดจริงของธุรกิจ และอาจถูกปรับแต่งให้ดูดีขึ้นได้ นักลงทุนจึงควรใช้ EBITDA ควบคู่กับตัวชี้วัดอื่น ๆ เพื่อให้เห็นภาพที่ครบถ้วน
กำไรสุทธิเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด ขณะที่ EBITDA ตัดปัจจัยบางอย่างออกไป เพื่อให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบธุรกิจได้ง่ายขึ้น
EBIT คำนวณจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี แต่ยังรวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายไว้ จึงใกล้เคียงกับ EBITDA มากกว่ากำไรสุทธิ
EBITDA ไม่สะท้อนถึงกระแสเงินสดจริงของบริษัท ขณะที่ Free Cash Flow แสดงถึงเงินสดที่เหลืออยู่หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด
นักลงทุนมักใช้ EBITDA เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพของบริษัท โดยเฉพาะในการเปรียบเทียบธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ตัวอย่างต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นว่า EBITDA มีบทบาทอย่างไรในการช่วยตัดสินใจลงทุน
บริษัท A
บริษัท B
สรุปได้ว่า EBITDA เป็นเพียงหนึ่งในตัวชี้วัดที่ช่วยให้เห็นประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท แต่ไม่สามารถใช้ตัดสินใจได้เพียงอย่างเดียว นักลงทุนจึงควรวิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น หนี้สิน กระแสเงินสด และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่แม่นยำที่สุดในการตัดสินใจลงทุน
นอกจากเรื่องราวน่าสนใจของ EBITDA ที่เรานำมาฝากกัน สามารถติดตามสาระความรู้และกลยุทธ์จากผู้เชี่ยวชาญจากบทความการลงทุนของ InnovestX ได้เลย มีบทความดี ๆ พร้อมกลยุทธ์ มุมมอง และบทวิเคราะห์การลงทุนในทุกแง่มุม รวบรวมไว้อย่างครบครัน อัปเดตทันเหตุการณ์ เพื่อให้คุณก้าวสู่โลกการลงทุนได้อย่างมั่นใจ
คำเตือน
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อมูลอ้างอิง: