Key Summary
สรุปกองทุนลดหย่อนภาษี SSF ที่ INVX แนะนำสำหรับ Core Portfolio
- กองทุนหุ้นโลก Active: KKP GNP-H SSF
- กองทุนหุ้นโลก Passive: SCBWORLD(SSF)
- กองทุนตราสารหนี้โลก UGIS-SSF
- กองทุนตราสารหนี้ไทย KKP ACT FIXED-SSF
สรุปกองทุนลดหย่อนภาษี SSF ที่ INVX แนะนำสำหรับ Satellite Portfolio
- กองทุนหุ้นสหรัฐฯ Active: K-USA-SSF
- กองทุนหุ้นสหรัฐฯ Passive: SCBS&P500(SSFA)
- กองทุนหุ้นเวียดนาม: B-VIETNAMSSF
- กองทุนหุ้นเทคโนโลยี: B-INNOTECHSSF
Core Portfolio คือ พอร์ตการลงทุนส่วนที่เป็นแกนหลัก เหมาะสำหรับผู้ลงทุนระยะยาวที่ไม่ต้องการจับจังหวะตลาด หากนักลงทุนยังไม่เคยลงทุนในกองทุนรวม แนะนำเริ่มต้นลงทุนกองภาษีด้วยกองทุนที่เป็น Core Portfolio
INVX Top Pick SSF: กองทุนลดหย่อนที่แนะนำสำหรับ Core Portfolio 4 กองทุน ได้แก่
1.กองทุนหุ้นโลก Active: KKP GNP-H SSF
- กองทุนหลัก Capital Group New Perspective มีนโยบายลงทุนการลงทุนในระยะยาวเพื่อการสร้างผลตอบแทนที่เอาชนะดัชนีหุ้นโลกอย่างสม่ำเสมอ มีวิธีการคัดเลือกหุ้นรายตัวคุณภาพสูงอย่างเข้มข้นโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 10 คน และเป็นอิสระต่อกัน จึงทำให้เกิดพอร์ตการลงทุนมีการกระจายตัวอย่างดีของหุ้นคุณภาพสูงกว่า 240 ตัว และระยะเวลาการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ในพอร์ตมากกว่า 3 ปีขึ้นไป
- ลักษณะพอร์ตการลงทุนของกองทุนหลัก จะมีการกระจายตัวที่ดี มีความยืดหยุ่น และมีความสมดุล คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ในบริษัทระดับโลกที่มั่นคง มีแนวโน้มเติบโตสูง และอยู่ในเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก
- ตัวอย่างหุ้นที่มีการลงทุน ได้แก่ Microsoft บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก, Novo Nordisk บริษัทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลก, Meta Platforms บริษัทด้านเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย, Broadcom บริษัทผู้ผลิตชิปและโซลูชันทางเทคโนโลยี, TSMC บริษัทผู้ผลิตชิประดับโลก
- กองทุนหลักมี Track Record ของกลยุทธ์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1973 โดยสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ย 11.2% ต่อปี (ณ 31 พ.ค. 2024) เมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นโลกที่สร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ย 8.6% ต่อปี
- มีให้เลือกทั้ง Class ที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน คือ KKP GNP-H-SSF และ Class ที่ไม่ป้องกันวามเสี่ยงค่าเงิน FX Unhedged คือ KKP GNP-SSF
2.กองทุนหุ้นโลก Passive: SCBWORLD(SSF)
- กองทุนหลัก iShares MSCI World ETF (USD) ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive โดยอ้างอิงดัชนีหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว DM (MSCI Developed Markets) รวม 23 ประเทศ โดยกองทุนหลักมีการกระจายการลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
- สัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุนจะกระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มบริการทางด้านสุขภาพ กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย
- เหมาะสำหรับใช้เป็น Core Portfolio สำหรับการลงทุนหุ้นโลกในระยะยาว เนื่องจากเป็นการลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งมีความมั่นคง มีความโปร่งใส และมีสภาพคล่อง อีกทั้งยังมีกระจายการลงทุนในหุ้นกว่า 1,470 ตัว
- ตัวอย่างหุ้นที่มีการลงทุน ได้แก่ Apple ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีระดับโลก, Microsoft บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก, Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิปประมวลผลระดับโลก, Amazon.com บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่สุดในโลก, Meta Platforms บริษัทด้านเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย
- ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ณ 31 ส.ค. 2024) กองทุนหลักสามารถสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ย 13.2% ต่อปี
3.กองทุนตราสารหนี้โลก UGIS-SSF
- กองทุนหลัก PIMCO GIS Income ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลกแบบ โดยสามารถกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้หลากหลายประเภท ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนมีอันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยระดับ AA- และมีอายุตราสารเฉลี่ยในพอร์ตการลงทุนประมาณ 3.93 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พ.ค. 2024)
- ทีมผู้จัดการกองทุนหลักมีประสบการณ์สูงกว่า 30 ปี มีจุดเด่นด้านกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่น โดยจะผสมผสานการวิเคราะห์เชิง Top-down และ Bottom-up เพื่อเฟ้นหาตราสารหนี้ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับพอร์ตการลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะทำการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
- PIMCO GIS Income มีประวัติการจัดตั้งมาอย่างยาวนาน จึงทำให้กองทุนผ่านมาแล้วในหลายวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยนับตั้งแต่จัดตั้งในปี 2012 PIMCO GIS Income Fund สามารถสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ย 5.05% ต่อปี
- มีให้เลือกทั้ง Class ที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินคือ UGIS-SSF และ Class ที่ไม่ป้องกันวามเสี่ยงค่าเงิน FX Unhedged คือ UGISFX-SSF
4.กองทุนตราสารหนี้ไทย KKP ACT FIXED-SSF
- กองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยที่มีคุณภาพสูง โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยที่ A และกองทุนมีเป้าหมายอายุตราสารของพอร์ตโดยเฉลี่ยที่ 1-3 ปี
- ทีมผู้จัดการกองทุนมีการบริหารพอร์ตการลงทุนแบบยืนหยุ่น โดยพิจารณาจากทั้ง Top-down และ Bottom-up มีกระบวนการลงทุนที่มีหลักการชัดเจน ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว และการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
- ทั้งนี้ทีมผู้จัดการลงทุนจะมีการลงทุนเชิงรุก ทั้งเรื่อง Idea Generation การติดตามข้อมูลของบริษัท และมีการปรับพอร์ตการลงทุนในสอดคล้องกับภาวะตลาด
- ทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ในการลงทุนและการวิเคราะห์กว่า 20 ปี โดยทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ประกอบกับการมี In-house Research ในการช่วยกลั่นกรองและให้มุมมองการลงทุนที่ผสมผสาน เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ลงทุน
- กลยุทธ์หลักของกองทุน (KKP ACT FIXED) สามารถทำผลการดำเนินงานได้เฉลี่ยปีละ 1.93% นับตั้งแต่จัดตั้งเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2015
Satellite Portfolio คือ พอร์ตการลงทุนส่วนที่เป็นส่วนเสริมเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการจับจังหวะตลาดหรือมีมุมมองในการลงทุนเป็นของตัวเอง หากนักลงทุนมี Core Portfolio อยู่แล้ว และอยากลงทุนใน Theme ที่เติบโตในระยะยาวเพื่อเสริมพอร์ตแนะนำลงทุนกองภาษีที่เป็น Satellite Portfolio
INVX Top Pick SSF: กองทุนลดหย่อนที่แนะนำสำหรับ Satellite Portfolio 4 กองทุน ได้แก่
1.กองทุนหุ้นสหรัฐฯ Active: K-USA-SSF
- เน้นลงทุนในกองทุนหลัก Brown Advisory US Sustainable Growth Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ หรือบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 50% มาจากประเทศสหรัฐฯ มีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน ประมาณ 30-40 ตัว
- กองทุนหลักใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Long-term โดยมุ่งวิเคราะห์เชิง Bottom-up เพื่อหาบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว และมีมูลค่าที่เหมาะสม
- ผู้จัดการกองทุนหลักมีประสบการณ์สูง โดยมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเฉลี่ยถึง 24 ปี และยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญอีกมากกว่า 50 คนคอยให้การสนับสนุนเพิ่มเติม
- ตัวอย่างหุ้นที่มีการลงทุน ได้แก่ Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิปประมวลผลระดับโลก, Microsoft บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก, Amazon.com บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่สุดในโลก, Intuit บริษัทด้านซอฟต์แวร์ด้านการเงินและภาษีรายใหญ่ของโลก, ServiceNow บริษัทผู้นำเทคโนโลยีด้านระบบบริหารงาน IT แบบครบวงจรระดับโลก
- ณ 30 มิ.ย. 2024 กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่มีการจัดตั้งกองทุนเมื่อสิ้นปี 2009 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย (Net Return) 16.3% ต่อปี สร้างผลตอบแทนเทียบเท่ากับดัชนี Russell 1000 Growth และสร้างผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี S&P500 ที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 13.8% ต่อปี
2.กองทุนหุ้นสหรัฐฯ Passive: SCBS&P500(SSFA)
- ลงทุนในกองทุนหลัก iShares Core S&P 500 ETF (IVV) ซึ่งเป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนต้องการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ บริหารจัดการโดย BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- วัตถุประสงค์ในการติดตามผลการดำเนินงานของดัชนี S&P 500 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐฯ โดยดัชนีดังกล่าวเป็นหนึ่งในดัชนีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและมักถูกใช้เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการวัดผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
- มีการกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากกองทุนนี้ลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 บริษัท จึงครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้การกระจายความเสี่ยงในเชิงของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ตัวอย่างหุ้นที่มีการลงทุน ได้แก่ Apple ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีระดับโลก, Microsoft บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก, Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิปประมวลผลระดับโลก, Amazon.com บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่สุดในโลก, Meta Platforms บริษัทด้านเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย
- กองทุนหลักมีลักษณะเป็น ETF และ Passive Fund มักจะมีค่าธรรมเนียมต่ำ ค่าใช้จ่ายเพียง 03% ต่อปีเท่านั้น และตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2024) กองทุนนี้มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 13.1%
3.กองทุนหุ้นเวียดนาม: B-VIETNAMSSF
- มีปรัชญาในการลงทุนเพื่อสร้าง Risk-adjusted Return ที่โดดเด่น ผ่านการวิเคราะห์เชิงปัจจัยพื้นฐาน การคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up และกระบวนการสร้างพอร์ตการลงทุนอย่างมีวินัย
- มีกระบวนการการลงทุนโดยมองหาเทรนด์ใหญ่ในการลงทุนที่สอดคล้องกับธีมการลงทุนของทาง บลจ. รวมทั้งมีการวิเคราะห์ในเชิงวิธีการ Top-down และ Bottom-up ทั้งด้านความทนทานและสามารถในการแข่งขัน ปัจจัยในการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงระดับราคาของบริษัท เพื่อที่จะหาศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ และคัดเลือกหุ้นที่มีงบทางการเงินที่แข็งแกร่งเข้าพอร์ตการลงทุน
- พอร์ตการลงทุนจะแบ่งเป็นส่วน Core Portfolio ประมาณ 75-80% ส่วนที่เป็น Trading Portion 5-10% เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มในระยะยาว และอีก 5-15% ถือเงินสดเพื่อสภาพคล่อง ปัจจุบันถือหุ้นประมาณ 30 ตัว โดยขนาดหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตจะเน้นไปที่หุ้นตัวใหญ่ประมาณ 75-80% และส่วนที่เหลือเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก
- ตัวอย่างหุ้นที่มีการลงทุน ได้แก่ Military Commercial Joint Stock Bank ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในเวียดนามที่ได้รับการสนับสนุนจากระทรวงกลาโหมเวียดนาม, FPT Corporation ผู้นำด้านเทคโนโลยีและ IT ในเวียดนาม, Phu Nhuan Jewelry JSC ผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องประดับคุณภาพสูงในเวียดนาม, Digital World Joint Stock Company ผู้นำด้านการค้าส่งในการจัดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำในเวียดนาม, Mobile World Investment Corp ผู้นำด้านการค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ในเวียดนาม ครอบคลุมสินค้าเทคโนโลยี
- ผลการดำเนินงาน (ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2024) โดดเด่นที่สุดในกองทุนเวียดนาม SSF ด้วยกัน โดยสร้างผลตอบแทน 17.45% นับตั้งแต่ต้นปี 2024 และสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นที่สุดในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาด้วยผลตอบแทน 8.45%
- ขณะที่กองทุน B-VIETNAM (ที่มีกลยุทธ์การบริหารแบบเดียวกับกองทุน B-VIETNAMSSF) เป็นหนึ่งในกองทุนหุ้นเวียดนามที่สร้างผลตอบแทนอย่างโดดเด่นตั้งแต่มีการจัดตั้งกองทุนเมื่อ 25 ต.ค. 2021 โดยสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 2.1% ต่อปีสูงกว่า VN Index ที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย -1.1% ต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน
4.กองทุนหุ้นเทคโนโลยี: B-INNOTECHSSF
- ลงทุนในกองทุนหลัก Fidelity Funds – Global Technology Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่กระจายการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงรวมถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมของเทคโนโลยีราว 50-100 ตัว
- บริหารกองทุนในแนวทาง Contrarian หรือแนวทางสวนกระแส โดยมองหาบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็นและมีศักยภาพในระยะยาว
- กระบวนการลงทุนในกองทุนของกองทุนหลักจะเน้นไปที่การวิเคราะห์เชิงลึก โดยสามารถแบ่งออกเป็น Idea Generation, Research & Analysis, Portfolio Construction & Risk
- พอร์ตการลงทุนประกอบด้วย กลุ่มผู้ชนะระยะยาวมากกว่า 50% ของพอร์ต กลุ่มเติบโตตามวัฏจักรเศรษฐกิจน้อยกว่า 30% ของพอร์ต และกลุ่มที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงน้อยกว่า 30% ของพอร์ต
- ตัวอย่างหุ้นที่มีการลงทุน Microsoft บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก, TSMC บริษัทผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำระดับโลก, Apple ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีระดับโลก, Samsung Electronics บริษัทผู้นำด้านการผลิตชิปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์, Ericsson บริษัทโทรคมนาคมชั้นนำจากสวีเดน
- ผลตอบการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี ณ 31 ส.ค. 2024 กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 22.2% โดยมีผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงที่ 1.1 เท่า และมีอัตราการขาดทุนสูงสุดที่ 26.5% เทียบกับดัชนีชี้วัดหุ้นเทคโนโลยีโลกที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 22.8% โดยมีผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงที่ 1.0 เท่า และมีอัตราการขาดทุนสูงสุดที่ 34.8% หรือหากเทียบกับดัชนีหุ้นโลกที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 12.1% โดยมีผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงที่ 0.7 เท่า และมีอัตราการขาดทุนสูงสุดที่ 25.6%
คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บล.อินโนเวสท์เอกซ์