สหรัฐฯ เตรียมใช้มาตรการภาษีนำเข้าใหม่ 14 ประเทศ มีผล 1 ส.ค. แต่เปิดทางต่อรองและยังต้องลุ้นคำตัดสินศาลสูง
By INVX Investment Strategy (8/7/68)
สหรัฐอเมริกาเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอย่างน้อย 14 ประเทศ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เปิดเผยอัตราภาษีใหม่ผ่านจดหมายที่ส่งถึงผู้นำประเทศต่างๆ ซึ่งรวมถึง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย คาซัคสถาน แอฟริกาใต้ ลาว เมียนมาร์ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ตูนิเซีย อินโดนีเซีย บังกลาเทศ เซอร์เบีย กัมพูชา และไทย โดยอัตราภาษีแตกต่างกันไปตั้งแต่ 25% ถึง 40% ขึ้นอยู่กับประเทศ โดยไทยโดนภาษีที่ 36% ไม่ได้ลดจากเดิม ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่โดนที่ 20% ถือว่าเสียเปรียบพอควร
ทรัมป์ให้เหตุผลว่าการขึ้นภาษีครั้งนี้จำเป็นเพื่อแก้ไขการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศเหล่านี้ โดยมองว่าการขาดดุลเป็นสัญญาณของการถูกเอาเปรียบทางการค้า นอกจากนี้ จดหมายยังเตือนไม่ให้ประเทศเหล่านี้ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าของสหรัฐฯ และระบุว่าอัตราภาษีอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับประเทศนั้นๆ กล่าวคือยังสื่อว่าเปิดทางให้ต่อรองจนถึงวันที่ 1 ส.ค.68 นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดอัตราภาษีที่สูงขึ้นสำหรับสินค้าที่พยายามหลีกเลี่ยงภาษีด้วยการขนส่งผ่านประเทศที่ 3
เดิมทีภาษีตอบโต้เหล่านี้มีกำหนดจะกลับมาใช้ในระดับที่สูงขึ้นในต้นเดือนเม.ย. แต่ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งล่าช้าออกไปจนถึงวันที่ 1 ส.ค. อย่างไรก็ดี ข้อตกลงภาษีที่เรียกว่า "ภาษีตอบโต้" ของทรัมป์เคยถูกศาลแขวงของรัฐบาลกลางปัดตกเมื่อปลายเดือนพ.ค. โดยศาลตัดสินว่าเขาไม่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะเรียกเก็บภาษีที่ครอบคลุมภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินที่เขายกมาในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล Federal Circuit ซึ่งศาลได้กำหนดตารางเวลาเร่งด่วนในการพิจารณา โดยมีการกำหนดให้ยื่นเอกสารสรุปภายในเดือนมิ.ย.และก.ค. และจะมีการแถลงด้วยวาจาในวันที่ 31 ก.ค. 68 ซึ่งหมายความว่าภาษียังคงมีผลบังคับใช้ในระหว่างที่รอการพิจารณาของศาลสูง
กลยุทธ์การลงทุน: รอความชัดเจนก่อนตัดสินใจ (Wait and See)
แม้ภาษีนำเข้าชุดใหม่จะมีกำหนดมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ แต่ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลสูง และข้อความในจดหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เปิดช่องให้มีการต่อรองระหว่างประเทศได้จนถึงก่อนวันมีผลบังคับใช้ นักลงทุนจึงควรใช้กลยุทธ์ wait and see เพื่อรอดูท่าทีของทั้งศาลและการเจรจาระหว่างประเทศก่อน โดยเฉพาะสินค้าหรือบริษัทที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราภาษีใหม่นี้ ซึ่งหากศาลมีคำตัดสินชะลอหรือระงับมาตรการ หรือหากมีสัญญาณบวกจากการเจรจา อาจนำไปสู่การปรับมุมมองและโอกาสลงทุนในระยะถัดไปได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ในภาพรวมของรอบภาษีนี้ เราประเมินว่าอัตราภาษีที่ประกาศใหม่ปรับลดลงน้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ จึงมีแนวโน้มกดดันตลาดหุ้นโดยรวมในระยะสั้น แต่เป็นบวกต่อสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงเช่นทองคำ โดยเฉพาะในช่วงก่อนถึงวันมีผลบังคับใช้จริง