สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 10 - 14 พฤศจิกายน 2025
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
สัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวผันผวน ท่ามกลางการขาดปัจจัยบวกใหม่และมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับตึงตัว โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นสัญญาณของแรง Buy the dip และ Sector rotation ซึ่งสะท้อนว่าการปรับฐานรอบนี้เป็นเพียงการเกิด Healthy Correction เพื่อปรับสมดุลของตลาด มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนทิศทางเข้าสู่ขาลง กลยุทธ์ระยะสั้น แนะนำเน้นหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น Healthcare เพื่อรักษาความเสี่ยงพอร์ต และมีโอกาสได้รับประโยชน์จาก Sector rotation ขณะเดียวกันยังมองโอกาสทยอยสะสมหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตเด่นในระยะต่อไป โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีจีนและหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก (US Small Cap) ภายใต้กลยุทธ์ซื้อเมื่อราคาย่อตัว สำหรับตลาดหุ้นยุโรปเราประเมิน Valuation ที่ยังสมเหตุสมผล ในขณะที่คาดการณ์การเติบโตของ EPS เร่งตัวขึ้น ยังคงความน่าสนใจในการลงทุน
ตราสารหนี้
ตราสารหนี้มีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากเฟดที่ยุติการทำ QT มีโอกาสหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม เฟดที่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อสหรัฐฯและแสดงความไม่มั่นใจต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. รวมถึงเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว มีความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลัง จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีความผันผวน โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด
สินทรัพย์ทางเลือก
ราคาทองคำยังอยู่ในช่วงปรับฐานบริเวณใกล้ระดับ 4,000 โดยได้รับแรงกดดันจากบรรยากาศความขัดแย้งทางการค้าที่ผ่อนคลายลง และสัญญาณความไม่มั่นใจของเฟดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี ทองคำได้รับแรงพยุงจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนสูงในระยะสั้น เราประเมินว่านักลงทุนควรรอจังหวะให้ราคาสร้างฐานใหม่อย่างมั่นคงก่อนทยอยสะสม เพื่อจำกัดความเสี่ยง
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น-กลาง
[Theme Play]
หุ้น US Small Cap: หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กได้รับแรงหนุนจากวงจรดอกเบี้ยขาลงและนโยบายการคลังของรัฐบาลทรัมป์ อย่างนโยบาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีรายได้ในประเทศกว่า 80% ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี Russell 2000 เริ่มกลับมาเติบโต YoY เป็นบวก ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ในไตรมาส 3/2025 และคาดว่าจะเร่งตัวต่อเนื่องในปี 2026 ขณะที่เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/2025 ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและสนับสนุนการฟื้นตัวของกำไร นอกจากนี้ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ FWD P/E ราว 17.5 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 23 เท่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนระหว่างนโยบายการเงินผ่อนคลาย และการฟื้นตัวของกำไร จะหนุนให้หุ้น US Small Cap มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในระยะกลาง
China Technology: การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเน้นย้ำการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การเติบโตเชิงคุณภาพ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นโยบายเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ ในขณะที่การประกาศให้ data Center ที่มีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนต้องเปลี่ยนมาใช้ชิปภายในประเทศ เป็นปัจจัยบวกต่อเซมิคอนดักเตอร์ของจีนให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ ด้าน Valuation ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่แพง ในขณะที่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีใน 1-2 ปีข้างหน้า
Europe Equity: สัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยุโรปยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 มีการเร่งตัวขึ้นในไตรมาสที่ 3/2025 และคาดว่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 มีโอกาสจะนำไปสู่การอัปเกรด EPS Growth และช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน โดย STOXX 600 ยังคงมีระดับ Forward PE ที่สมเหตุสมผล มีโอกาสให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงที่ EPS เร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง
China A-Shares: หุ้นจีน A-Shares มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลที่ต้องการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจจีนสู่การบริโภค เราประเมินว่า รัฐบาลจีนยังคงมีแนวโน้มใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่ระดับ 5% เป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นจีนต่อเนื่อง ในขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 เติบโตราว 11% YoY เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนเป็นปัจจัยหนุน ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก ช่วยให้ดัชนียังคงมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ
[Event Play]
Global Healthcare: รัฐบาลทรัมป์บรรลุข้อตกลงกับ Eli Lilly และ Novo Nordisk ให้ลดราคายาลดน้ำหนักยอดนิยม เช่น Zepbound และ Wegovy ลงกว่า 50% แลกกับสิทธิ์ยกเว้นภาษีนำเข้าเวชภัณฑ์เป็นเวลา 3 ปี และเปิดทางให้ยาถูกครอบคลุมในโครงการ Medicare สำหรับผู้สูงอายุซึ่งเดิมไม่ครอบคลุมยาลดน้ำหนัก ในระยะสั้นข้อตกลงดังกล่าวช่วยคลี่คลาย overhang ที่กดดันหุ้นกลุ่ม Healthcare และสร้างความชัดเจนด้านนโยบายมากขึ้น เราประเมินว่าปัจจัยนี้จะ หนุน sentiment ของหุ้นกลุ่ม Healthcare ให้ฟื้นตัวต่อ สอดคล้องกับภาวะ sector rotation ที่เริ่มเอนเข้าสู่หุ้น Defensive มากขึ้นในช่วงนี้ อีกทั้งกลุ่ม Healthcare ยังมี valuation ที่อยู่ในระดับน่าสนใจ เมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมที่เริ่มตึงตัว