สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 13 - 17 ตุลาคม 2025
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
สัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวเชิงบวกต่อเนื่อง จากความคาดหวังเฟดเริ่มลดดอกเบี้ย และแรงหนุนจากฤดูกาลประกาศผลประกอบการกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ซึ่งจะกำหนดทิศทางตลาดระยะสั้น เรายังคงมองบวกต่อหุ้น Healthcare จากความเสี่ยงด้านนโยบายที่คลี่คลาย หนุน Sentiment ฟื้นตัว ขณะที่หุ้นยุโรปยังน่าสนใจจาก Valuation ไม่แพง และกำไรบริษัทมีแนวโน้มเติบโตดีในระยะถัดไป ส่วนตลาดเกิดใหม่ (EM) ได้อานิสงส์จากเงินทุนไหลเข้า หลังเฟดเข้าสู่รอบผ่อนคลายนโยบาย โดยเราชื่นชอบหุ้นไทยจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และหุ้นเทคโนโลยีจีน รวมถึงหุ้นจีน A-Shares จากความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ตราสารหนี้
เรามีมุมมองที่ระมัดระวังสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ แม้เฟดเข้าสู่วัฏจักรปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่มีการปรับคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัว และความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลัง ปัจจัยเหล่านี้ยังคงกดดันให้อัตราผลตอบแทน (Bond Yield) ของตราสารหนี้อายุยาวปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด ทั้งนี้ อาจต้องติดตามความคืบหน้าของการใช้ Third Mandate อาจส่งผลบวกต่อ Bond Yield ตราสารหนี้ระยะยาวได้ โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด
สินทรัพย์ทางเลือก
ราคาทองคำพุ่งทะลุระดับ $4,000/oz รับแรงหนุนจากความคาดหวังเฟดลดดอกเบี้ยและความเสี่ยงจาก Government Shutdown อย่างไรก็ดี เราประเมินว่าราคาทองคำได้สะท้อนปัจจัยบวกไปมากและเข้าสู่ภาวะ overbought ตามสัญญาณเทคนิค จึงแนะนำ ทยอยขายทำกำไร ขณะที่การแข็งค่าระยะสั้นของดอลลาร์สหรัฐฯ อาจเป็นแรงกดดันต่อราคาทองในช่วงถัดไป
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ REITs ไทยที่ยังคง Laggard เมื่อเทียบกับ SET Index มีความน่าสนใจ และดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้
[Theme Play]
China Technology: ยังคงมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการลงทุนในธุรกิจ AI ของภาคเอกชน ในขณะที่รัฐบาลจีนยังคงมีนโยบายสนับสนุนบริษัทเอกชนและเป็นมิตรกับบริษัทเทคโนโลยีจีน ประกอบกับการลงทุนด้าน AI ของบริษัทเทคโนโลยีจีนยังคงขยายตัว หนุนบริษัทในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ด้าน Valuation ของกลุ่มเทคโนโลยีจีนยังคงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยราว 24 เท่า แต่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีกว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นจึงมีโอกาสให้หุ้นเทคโนโลยีของจีนสามารถซื้อขายบน PE ที่สูงกว่าได้
Europe Equity: เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค คาดว่าจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2027 ในขณะที่การเมืองฝรั่งเศสกลับมามีความไม่แน่นอนอีกครั้งหลังนายกรัฐมนตรีลาออก อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นฝรั่งเศสยังคงสามารถฟื่นตัวกลับมาได้หลังประธานาธิบดีมาครง ประกาศจะแต่งตั้งนายกใหม่ภายใน 48 ชั่วโมง ในขณะที่ STOXX 600 มุ่งหน้าทำจุดสูงใหม่ ชี้ว่าความไม่แน่นอนนี้ ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นยุโรปอย่างจำกัด
China A-Shares: หุ้นจีน A-Shares ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อหลังเปิด Golden week ในขณะที่ World Bank ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2025 จาก 4.0% สู่ระดับ 4.8% จากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง การใช้นโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจของรัฐบาล หนุนความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนในหุ้นจีน ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และนักลงทุนยังจับตาการประชุม 4th Plenum ของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
[Event Play]
TH Equity: ดัชนี SET Well-Being (SETWB) มีความน่าสนใจในระยะสั้น จากแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และการส่งเสริมการท่องเที่ยวปลายปี ซึ่งหนุนโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มบริโภคและท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนสูงถึง 59% ของดัชนี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังเอื้ออำนวย โดย SETWB ซื้อขายที่ P/E 12.7x ต่ำกว่า SET (16.1x) และภาพรวมประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2025 และ 2026 ทรงตัวไม่ถูกปรับลดลง สะท้อนความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการที่มีมากขึ้น อีกทั้ง Fund Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยจากดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าและทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ลดลง อีกทั้ง รัฐบาลยืนยันพร้อมสนับสนุนตลาดทุน เพิ่มสภาพคล่อง–เสริมความเชื่อมั่น และพัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจยุคใหม่ให้กับตลาดทุน หนุนมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ด้านเทคนิค ดัชนี SETWB แกว่งในกรอบขาขึ้นในระยะสั้น
TH REITs : REITs ไทยได้ปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของเฟด และจากแรงหนุนที่ ธปท. เข้าสู่วัฏจักรการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาคอื่นๆ เราประเมินว่าปัจจัยหนุนต่างๆ ที่กล่าวมาจะเอื้อต่อภาวการณ์ลงทุน REITs ไทย อีกทั้ง Sentiment ตลาดหุ้นไทยที่ดูดีขึ้น เป็นอีกแรงหนุนต่อ REITs ไทย
Global Healthcare: Sentiment ของหุ้นกลุ่ม Healthcare ฟื้นตัวจากดีล Pfizer–Trump โดย Pfizer ยอมลดราคายาบางรายการในสหรัฐฯ สูงสุดถึง 85% และเปิดขายตรงผ่านเว็บไซต์ TrumpRx ของรัฐบาล เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาราคาถูกโดยตรง พร้อมประกาศลงทุนกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ ในการวิจัยและผลิตยาภายในประเทศ ดีลนี้ช่วยให้ Pfizer ได้รับ ยกเว้นภาษีนำเข้ายา 3 ปี หลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการ ภาษีนำเข้ายา 100% ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศมีผลวันที่ 1 ต.ค. และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทยารายใหญ่อื่น เช่น Eli Lilly และ Novo Nordisk เดินหน้าเจรจาตามข้อตกลงดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Healthcare ฟื้นตัวแรง สะท้อนการคลี่คลายความกังวลด้านนโยบายภาษีและการกำหนดราคายา ถือเป็นการ ปลดล็อกความเสี่ยงเชิงนโยบายสำคัญ ที่กดดันกลุ่มในช่วงที่ผ่านมา ความชัดเจนที่เพิ่มขึ้นทั้งด้านภาษีและราคา หนุน sentiment การลงทุนในระยะสั้นขณะเดียวกัน Valuation ของหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังอยู่ในระดับ ถูก และมีโอกาสได้แรงหนุนจากกระแส sector rotation โดยเฉพาะเมื่อดัชนี S&P 500 เข้าสู่ระดับมูลค่าที่ตึงตัว