สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 3 - 7 พฤศจิกายน 2025
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
สัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากบรรยากาศการค้าโลกที่คลี่คลาย หลังทรัมป์-สี จิ้นผิง บรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ของสหรัฐฯ โดยรวมที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์ จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดให้ฟื้นตัวได้ ในปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Rotation) จากหุ้นขนาดใหญ่สู่หุ้นขนาดเล็ก และกลุ่ม Healthcare ที่ราคายัง laggard และมี Valuation ที่น่าสนใจ ด้านตลาดหุ้นจีนที่ยังมี Valuation ไม่แพงยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน สำหรับตลาดหุ้นยุโรปเราประเมิน Valuation ที่ยังสมเหตุสมผล ในขณะที่คาดการณ์การเติบโตของ EPS เร่งตัวขึ้นยังคงในปีหน้าเป็นปัจจัยหนุนให้ยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แต่ในระยะสั้นมีความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2025 อาจชะลอตัวลง กดดันหุ้นไทยในระยะสั้น
ตราสารหนี้
ตราสารหนี้มีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากเฟดที่ยุติการทำ QT มีโอกาสหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม เฟดที่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อสหรัฐฯและแสดงความไม่มั่นใจต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. รวมถึงเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว มีความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลัง จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด
สินทรัพย์ทางเลือก
ราคาทองคำยังมีแนวโน้มอยู่ในช่วงปรับฐานที่บริเวณ $4,000 โดยความขัดแย้งทางการค้าที่ลดลง และเฟดที่แสดงท่าทีไม่มั่นใจในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะสั้น เราประเมินว่านักลงทุนควรรอให้ราคาสร้างฐานใหม่ก่อนทยอยเข้าสะสมเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ผู้ถือทองคำอยู่แล้วอาจพิจารณาทยอยขายทำกำไรเพื่อป้องกันความผันผวนให้กับพอร์ต
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น-กลาง
[Theme Play]
หุ้น US Small Cap: หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กได้รับแรงหนุนจากวงจรดอกเบี้ยขาลงและนโยบายการคลังของรัฐบาลทรัมป์ อย่างนโยบาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีรายได้ในประเทศกว่า 80% ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี Russell 2000 เริ่มกลับมาเติบโต YoY เป็นบวก ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ในไตรมาส 3/2025 และคาดว่าจะเร่งตัวต่อเนื่องในปี 2026 ขณะที่เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/2025 ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและสนับสนุนการฟื้นตัวของกำไร นอกจากนี้ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ FWD P/E ราว 17.5 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 23 เท่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนระหว่างนโยบายการเงินผ่อนคลาย และการฟื้นตัวของกำไร จะหนุนให้หุ้น US Small Cap มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในระยะกลาง
China Technology: การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเน้นย้ำการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การเติบโตเชิงคุณภาพ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นโยบายเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เป็นบวกมาขึ้น เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนต่อได้ ด้าน Valuation ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่แพง ในขณะที่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีกว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้
Europe Equity: เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค คาดว่าจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2027 ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกลุ่มสินค้าแบรนด์หรูในไตรมาสที่ 3/2025 เริ่มส่งสัญญาณถึงจุดต่ำสุดช่วยหนุนเป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศการลงทุน โดย STOXX 600 ยังคงมีระดับ Forward PE ที่สมเหตุสมผล ช่วยหนุนให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงที่ EPS เร่งตัวขึ้น
China A-Shares: หุ้นจีน A-Shares มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลที่ต้องการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจจีนสู่การบริโภค ในขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างสี จิ้งผิงและทรัมป์ ที่เป็นบวกเป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นจีนโดยรวม เราประเมินว่า รัฐบาลจีนยังคงมีแนวโน้มใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่ระดับ 5% เป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นจีนต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก ในขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
[Event Play]
Global Healthcare: เราประเมินว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นมีโอกาสเข้าสู่ภาวะ Sector Rotation หลังดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นแรงและเข้าสู่โซนมูลค่าตึงตัว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Growth และเทคโนโลยี ที่มี Valuation สูง ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาไม่ได้โดดเด่นเท่าช่วงไตรมาส 2 ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตจากหุ้นเติบโตไปสู่ หุ้นคุณค่า (Value) ที่มีมูลค่าน่าสนใจมากกว่า เราพบสัญญาณการหมุนเงินที่ชัดเจนขึ้น โดยกลุ่ม Healthcare เริ่มกลับมา Outperform ขณะที่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แสดงสัญญาณอ่อนแรงลง เรายังคงมีมุมมองบวกต่อกลุ่ม Global Healthcare เนื่องจาก Valuation ถูก ราคายัง Laggard และความชัดเจนในประเด็นภาษีนำเข้ายาช่วยหนุน Sentiment ไปต่อ