PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: สี-ทรัมป์ จับมือยิ้ม พาวเวลล์หนุน เคาะซื้อ US Small Cap (3 - 7 November 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|31 Oct 25 2:20 PM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 3 - 7 พฤศจิกายน 2025
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

สัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากบรรยากาศการค้าโลกที่คลี่คลาย หลังทรัมป์-สี จิ้นผิง บรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ของสหรัฐฯ โดยรวมที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์ จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดให้ฟื้นตัวได้ ในปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Rotation) จากหุ้นขนาดใหญ่สู่หุ้นขนาดเล็ก และกลุ่ม Healthcare ที่ราคายัง laggard และมี Valuation ที่น่าสนใจ ด้านตลาดหุ้นจีนที่ยังมี Valuation ไม่แพงยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน สำหรับตลาดหุ้นยุโรปเราประเมิน Valuation ที่ยังสมเหตุสมผล ในขณะที่คาดการณ์การเติบโตของ EPS เร่งตัวขึ้นยังคงในปีหน้าเป็นปัจจัยหนุนให้ยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แต่ในระยะสั้นมีความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2025 อาจชะลอตัวลง กดดันหุ้นไทยในระยะสั้น
 

ตราสารหนี้

ตราสารหนี้มีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากเฟดที่ยุติการทำ QT มีโอกาสหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม เฟดที่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อสหรัฐฯและแสดงความไม่มั่นใจต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. รวมถึงเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว มีความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลัง จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด
 

 สินทรัพย์ทางเลือก
 
ราคาทองคำยังมีแนวโน้มอยู่ในช่วงปรับฐานที่บริเวณ $4,000 โดยความขัดแย้งทางการค้าที่ลดลง และเฟดที่แสดงท่าทีไม่มั่นใจในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะสั้น เราประเมินว่านักลงทุนควรรอให้ราคาสร้างฐานใหม่ก่อนทยอยเข้าสะสมเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ผู้ถือทองคำอยู่แล้วอาจพิจารณาทยอยขายทำกำไรเพื่อป้องกันความผันผวนให้กับพอร์ต

ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น-กลาง
 
 
[Theme Play] 
 
หุ้น US Small Cap: หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กได้รับแรงหนุนจากวงจรดอกเบี้ยขาลงและนโยบายการคลังของรัฐบาลทรัมป์ อย่างนโยบาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีรายได้ในประเทศกว่า 80% ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี Russell 2000 เริ่มกลับมาเติบโต YoY เป็นบวก ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ในไตรมาส 3/2025 และคาดว่าจะเร่งตัวต่อเนื่องในปี 2026 ขณะที่เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/2025 ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและสนับสนุนการฟื้นตัวของกำไร นอกจากนี้ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ FWD P/E ราว 17.5 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 23 เท่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนระหว่างนโยบายการเงินผ่อนคลาย และการฟื้นตัวของกำไร จะหนุนให้หุ้น US Small Cap มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในระยะกลาง

China Technology: การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเน้นย้ำการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การเติบโตเชิงคุณภาพ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นโยบายเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เป็นบวกมาขึ้น เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนต่อได้ ด้าน Valuation ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่แพง ในขณะที่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีกว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้

Europe Equity:
เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค คาดว่าจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2027 ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกลุ่มสินค้าแบรนด์หรูในไตรมาสที่ 3/2025 เริ่มส่งสัญญาณถึงจุดต่ำสุดช่วยหนุนเป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศการลงทุน โดย STOXX 600 ยังคงมีระดับ Forward PE ที่สมเหตุสมผล ช่วยหนุนให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงที่ EPS เร่งตัวขึ้น

China A-Shares:
หุ้นจีน A-Shares มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลที่ต้องการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจจีนสู่การบริโภค ในขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างสี จิ้งผิงและทรัมป์ ที่เป็นบวกเป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นจีนโดยรวม เราประเมินว่า รัฐบาลจีนยังคงมีแนวโน้มใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่ระดับ 5% เป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นจีนต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก ในขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 

 
[Event Play]
 
Global Healthcare: เราประเมินว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นมีโอกาสเข้าสู่ภาวะ Sector Rotation หลังดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นแรงและเข้าสู่โซนมูลค่าตึงตัว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Growth และเทคโนโลยี ที่มี Valuation สูง ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาไม่ได้โดดเด่นเท่าช่วงไตรมาส 2 ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตจากหุ้นเติบโตไปสู่ หุ้นคุณค่า (Value) ที่มีมูลค่าน่าสนใจมากกว่า เราพบสัญญาณการหมุนเงินที่ชัดเจนขึ้น โดยกลุ่ม Healthcare เริ่มกลับมา Outperform ขณะที่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แสดงสัญญาณอ่อนแรงลง เรายังคงมีมุมมองบวกต่อกลุ่ม Global Healthcare เนื่องจาก Valuation ถูก ราคายัง Laggard และความชัดเจนในประเด็นภาษีนำเข้ายาช่วยหนุน Sentiment ไปต่อ
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5