PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: ทองคำมีเซ ลุ้นยืน $4,000 จีนย้ำพึ่งตนเอง ชูเทคโนโลยี พลังงานสะอาด (27 - 31 October 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|24 Oct 25 2:40 PM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 27 - 31 ตุลาคม 2025
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

สัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสผันผวนสูงจากการเยือนเอเชียของทรัมป์และการพบกับสี จิ้นผิง โดยตลาดรอลุ้นพัฒนาการด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ขณะเดียวกัน การประชุม FOMC จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยหากเฟดประกาศรายละเอียดการยุติ QT อาจช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนระยะสั้น ในขณะที่ผลประกอบการของสหรัฐฯ ในภาพรวมออกมาแข็งแกร่งในหลาย Sector สนับสนุนโอกาสเกิด Sector Rotation โดยเฉพาะกลุ่ม Healthcare ที่ราคายัง laggard และมี Valuation ที่น่าสนใจ ด้านตลาดหุ้นจีนที่ยังมี Valuation ไม่แพงยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน สำหรับตลาดหุ้นยุโรปเราประเมิน Valuation ที่ยังสมเหตุสมผล ในขณะที่คาดการณ์การเติบโตของ EPS เร่งตัวขึ้นยังคงในปีหน้าเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปยังคงมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แม้ในระยะสั้นการฟื้นตัวอาจยังจำกัด แต่คาดว่าทิศทางโดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น


ตราสารหนี้

ตราสารหนี้มีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากเฟดที่ส่งสัญญาณยุติการทำ QT มีโอกาสหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม เฟดที่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อสหรัฐฯและเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลัง จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด


 สินทรัพย์ทางเลือก
 
ราคาทองคำร่วงแรงหลังทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ $4,381 ซึ่งนับเป็นการปรับตัวลงรายวันที่แรงที่สุดในรอบกว่า 5 ปี สาเหตุหลักมาจากแรงขายทำกำไรหลังราคาปรับขึ้นต่อเนื่องจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดและแรงเก็งกำไรในช่วงก่อนหน้า ในระยะสั้น เราประเมินว่าทองคำมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงพักฐานหลังปรับตัวขึ้นแรง นักลงทุนจึงควรรอให้ราคาสร้างฐานใหม่ก่อนทยอยเข้าสะสมเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ผู้ถือทองคำอยู่แล้วอาจพิจารณาทยอยขายทำกำไรเพื่อป้องกันความผันผวน
 
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ REITs ไทยที่ยังคง Laggard เมื่อเทียบกับ SET Index มีความน่าสนใจ และดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้

[Theme Play] 
 
China Technology: การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเน้นย้ำการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การเติบโตเชิงคุณภาพ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นโยบายเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ ด้าน Valuation ของกลุ่มเทคโนโลยีจีนยังคงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยราว 24 เท่า แต่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีกว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นจึงมีโอกาสให้หุ้นเทคโนโลยีของจีนสามารถซื้อขายบน PE ที่สูงกว่าได้

Europe Equity:
เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค คาดว่าจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2027 ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกลุ่มสินค้าแบรนด์หรูในไตรมาสที่ 3/2025 เริ่มส่งสัญญาณถึงจุดต่ำสุดช่วยหนุนเป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศการลงทุน โดย STOXX 600 ยังคงมีระดับ Forward PE ที่สมเหตุสมผล ช่วยหนุนให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงที่ EPS เร่งตัวขึ้น

China A-Shares:
หุ้นจีน A-Shares มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ในขณะที่ความคาดหวังการเจรจาการค้าระหว่างสี จิ้งผิงและทรัมป์ เป็นปัจจัยหนุนในระยะสั้น เราประเมินว่า รัฐบาลจีนยังคงมีแนวโน้มใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่ระดับ 5% เป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นจีนต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก ในขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 

 
[Event Play]
 
TH Equity: เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย แม้ระยะสั้นการฟื้นตัวอาจยังจำกัด แต่คาดว่าทิศทางโดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากแรงหนุนของ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นสภาพคล่องและลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ เราจึงยังคง แนะนำทยอยเข้าลงทุนในหุ้นไทยอิงดัชนี SET Well-being (SETWB) ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนโดดเด่น จากอานิสงส์ของนโยบายกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในกลุ่ม ค้าปลีก อาหาร และการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ
 
TH REITs : REITs ไทยยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของเฟด และจากแรงหนุนที่ ธปท. เข้าสู่วัฏจักรการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย  อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาคอื่นๆ เราประเมินว่าปัจจัยหนุนต่างๆ ที่กล่าวมาจะเอื้อต่อภาวการณ์ลงทุน REITs ไทย อีกทั้ง Sentiment ตลาดหุ้นไทยที่ดูดีขึ้น เป็นอีกแรงหนุนต่อ REITs ไทย

Global Healthcare: เราประเมินว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นมีโอกาสเข้าสู่ภาวะ Sector Rotation หลังดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นแรงและเข้าสู่โซนมูลค่าตึงตัว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Growth และเทคโนโลยี ที่มี Valuation สูง ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาไม่ได้โดดเด่นเท่าช่วงไตรมาส 2 ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตจากหุ้นเติบโตไปสู่ หุ้นคุณค่า (Value) ที่มีมูลค่าน่าสนใจมากกว่า เราพบสัญญาณการหมุนเงินที่ชัดเจนขึ้น โดยกลุ่ม Healthcare เริ่มกลับมา Outperform ขณะที่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แสดงสัญญาณอ่อนแรงลง เรายังคงมีมุมมองบวกต่อกลุ่ม Global Healthcare เนื่องจาก Valuation ถูก ราคายัง Laggard และความชัดเจนในประเด็นภาษีนำเข้ายาช่วยหนุน Sentiment ไปต่อ
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5