PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: 28 April - 2 May 2025

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|25 Apr 25 3:30 PM
สรุปสาระสำคัญ

สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 28 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2568

 

# แนะนำเข้าลงทุน หุ้นเทคจีน กองทุน PRINCIPAL CHTECH-A หรือเลือกเทรดผ่าน DR หุ้นเทคจีนผ่านตลาดหุ้นไทย เช่น
HKTECH13 (อ้างอิง ETF 3032) หรือ CNTECH01 (อ้างอิง ETF 3088)

 

มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

ตลาดหุ้นมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช่วงสั้น ๆ หลังสหรัฐฯ มีท่าทีอ่อนลงต่อประเด็นสงครามการค้า หากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีน มีความคืบหน้าจะหนุน Sentiment ให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ จึงอาจเข้าไปเก็งกำไรระยะสั้นได้ ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนระยะกลางเรายังชื่นชอบหุ้น ROW มากกว่า เช่น หุ้นจีน A-Shares และ หุ้นอินเดีย และหุ้นสไตล์ Defensive

 

ตราสารหนี้

การลงทุนในตราสารหนี้ยังช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตได้ แม้ระยะสั้นหุ้นมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเราชื่นชอบตราสารหนี้โลกมากกว่าตราสารหนี้ไทย จาก Bond yield ที่อยู่ในระดับสูงกว่าและมีโอกาสปรับตัวลงตามทิศทางดอกเบี้ย

 

สินทรัพย์ทางเลือก

ทองคำปรับตัวขึ้นแรงทำ All Time High ที่ $3500 จากประเด็นสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงช่วงสั้นจะเป็นลบต่อทองคำ รวมถึง เครื่องมือบ่งชี้ต่าง ๆ ส่งสัญญาณว่าทองคำกำลังเข้าอยู่ในช่วงพักฐานในระยะสั้น

[Theme Play]

 

India Equity: ตลาดหุ้นอินเดียส่งสัญญาณกลับตัว หลังราคาเบรกแนวต้าน ขณะเดียวกันเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ รวมถึงมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ และธนาคารกลางอินเดียที่มีท่าทีส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้ง เศรษฐกิจอินเดียพึ่งพา Global Trade น้อย และมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ราว 2% ของ GDP จึงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด นอกจากนี้ Valuation อยู่ในระดับน่าสนใจ และคาดการณ์กำไรปีนี้เติบโตโดดเด่น

 

China A-Shares: จีนได้ปรับเศรษฐกิจมานานเพื่อเตรียมรองรับสงครามการค้า อีกทั้งรัฐได้หันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน โดย A-Shares ราคายัง Laggard เมื่อเทียบกับ H-Shares จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นโดยเฉพาะหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ปัจจุบันดัชนี CSI 300 มี Valuation ไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว ประเมินดัชนีในระยะยาวมีโอกาสปรับตัวขึ้นที่ 4,450 จุด นอกจากนี้ A-Shares มีความสัมพันธ์ต่อหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ต่ำ ทำให้อาจได้รับผลกระทบจำกัดจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า

 

U.S. Financials Sector: หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ เคยได้แรงหนุนจากท่าทีนโยบายของ Trump ที่เอื้อประโยชน์ และ Yield Curve ที่มีแนวโน้มชันขึ้น ซึ่งเอื้อต่ออัตรากำไรของกลุ่มการเงิน อย่างไรก็ดี การขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ได้สร้างความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อ แม้จะมีความเสี่ยงในเชิงมหภาค แต่กลุ่มการเงินยังคงมีความน่าสนใจจากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นหุ้นที่มีคุณภาพโดยล่าสุด ผลประกอบการไตรมาส 1/25 ของธนาคารรายใหญ่สหรัฐฯ ออกมาขยายตัวดีและสูงกว่าคาด สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจและความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มนี้

 

Fixed Income: ผลตอบแทนของตราสารหนี้ (Bond yield) อยู่ในระดับสูงในรอบหลายปี และยังอาจไม่ได้ลดลงในระยะเวลาอันใกล้ จากผลกระทบของการขึ้นภาษีทั่วโลกที่ส่งผลให้เงินเฟ้อเริ่มค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับความสามารถในการกระจายความเสี่ยงที่มีความจำเป็นในภาวะความผันผวนจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นในปีนี้

 

Vietnam Equity: ตลาดหุ้นเวียดนามสถานการณ์ดูดีขึ้นหลังทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน และรัฐบาลเวียดนามแสดงท่าทีตั้งใจอย่างหนักในการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางเวียดนามยังมีความเสี่ยงเนื่องจากพึ่งพาการส่งออกเกือบ 100% ของ GDP ซึ่งหากสถานการณ์พลิกผัน เศรษฐกิจเวียดนามก็อาจได้รับผลกระทบหนักได้ โดยแนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นเวียดนามเมื่อย่อตัวเท่านั้น ไม่ไล่ราคาในช่วงนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วง 90 วันข้างหน้าที่ทรัมป์ยืดระยะเวลาเก็บภาษีตอบโต้ออกไป

 

[Event Play]

 

China Tech: หุ้นเทคจีนส่งสัญญาณฟื้นตัวระยะสั้น จากบรรยากาศการลงทุนเริ่มกลับมา Risk-on หลังความกังวลเรื่องภาษีสหรัฐฯ-จีนเริ่มคลี่คลาย ฝั่งสหรัฐฯ ส่งสัญญาณพร้อมเจรจา ขณะที่จีนเดินหน้าหนุนภาคเอกชนชัดเจนโดยเฉพาะกลุ่มเทค นอกจากนี้ Valuation ของหุ้นเทคจีนยังอยู่ในระดับถูก Fwd P/E ที่ 15.6 เท่า เทียบกับเฉลี่ย 5 ปีที่ 24.2 เท่า ช่วยจำกัด downside และเปิดโอกาสต่อ upside ได้ในระยะสั้น

 

TH Equity: หุ้นไทยอาจได้ประโยชน์ระยะสั้นจากคำสั่งซื้อจากจีน-สหรัฐฯ เนื่องด้วยผลกระทบสงครามการค้า และยังมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นตลาดทุนของภาครัฐ เช่น ThaiESG Extra, Jump+ และ TISA ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่น ทำให้ downside จำกัด โดยดัชนี SET ปิด Gap ช่วงโควิด และยืนระยะแถว 1,100 จุด บวกลบได้ รวมถึงเริ่มมีสัญญาณ Bullish Divergence ขณะที่ราคาลงสู่โซน Oversold บ่งชี้จุดกลับตัว อย่างไรก็ดี ปัจจัยสงครามภาษีอาจกดดันดัชนีผันผวนสูงได้ แต่ด้วย Valuation ที่ยังถูกเมื่อเทียบกับอดีตและภูมิภาค ทำให้หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ ณ ราคานี้

 

Global Healthcare: กลุ่ม Global Healthcare ยังได้แรงหนุนจากการ Rotation จากหุ้น Growth เข้าสู่หุ้น Defensive ท่ามกลางความผันผวนในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยหุ้นเฮลท์แคร์โลกเคลื่อนไหวแข็งแกร่งกว่าดัชนีโลก และ Valuation ยังอยู่ในระดับไม่แพง ในระยะ 3-6 เดือน จึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในกลุ่ม Defensive เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตในช่วงไตรมาส 2 นี้ ซึ่งตรงกับช่วงที่ ปธน.ทรัมป์ ขยายระยะเวลาการเก็บภาษีตอบโต้ออกไป 90 วันพอดี

Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Senior Vice President

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5