PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: เฟดลดดอกเบี้ย พร้อมอัด RMP US Small Cap ส่งสัญญาณไปต่อ (15 – 19 December 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|12 Dec 25 1:30 PM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 15 - 19 ธันวาคม 2025
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

เฟดปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ของปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกัน การส่งสัญญาณผ่าน Dot plot เป็นแรงหนุนเพิ่มเติมต่อทิศทางตลาดในระยะสั้น นอกจากนี้ แผนดำเนินการ Reserve Management Purchases (RMP) สะท้อนความตั้งใจของเฟดในการสนับสนุนสภาพคล่องในระบบการเงิน แม้ Valuation ของตลาดหุ้นโลกเริ่มตึงตัวหลังจากปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่เรายังคงประเมินว่าทิศทางหลักยังเป็นบวก โดยมองความผันผวนระหว่างทางเป็น “จังหวะสะสม” โดยเฉพาะหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตของกำไรเด่นในปีหน้า เช่น หุ้นเทคโนโลยีจีน และ หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก ซึ่งได้อานิสงส์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ด้านยุโรป มองว่าตลาดมีโอกาสรับแรงหนุนจากกระแส Country Rotation ออกจากสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ อีกทั้งพัฒนาการเชิงบวกในการเจรจายุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน ยังช่วยยกระดับ Sentiment ต่อหุ้นยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวต่อราคาพลังงาน

 
ตราสารหนี้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) อายุ 10 ปี ยังคงแกว่งตัวในกรอบแม้เฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยใน วันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมา ชี้ว่าตลาดยังคงมีความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่เสียงจากคณะกรรมการมีความเห็นที่แตกต่างกันในการดำเนินนโยบาย อย่างไรก็ตามหากพิจารณา Bond Yield ของพันธบัตรอายุต่ำกว่า 1 ปี มีการปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากการใช้นโยบาย Reserve Management Purchases (RMP) ซึ่งจะมีการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (TBILL) เราประเมิน Bond Yield พันธบัตรระยะยาวยังปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด มองอายุ 2-5 ปีเหมาะสมที่สุดในการเข้าลงทุน

 
 สินทรัพย์ทางเลือก
 
เราประเมินว่าทองคำยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบบริเวณแถว $4,200 และอยู่ในช่วงสร้างฐานราคา แม้การลดดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นแรงหนุน แต่ความคืบหน้าการเจรจายุติสงครามรัสเซีย–ยูเครนยังเป็นปัจจัยกดดัน ทำให้ราคามีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบไปจนถึงไตรมาส 1/2026 ขณะที่ระยะยาวทองคำยังน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง

ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น โดยเราชื่นชอบ REITs ไทย มากกว่า REITs โลก จากอัตราเงินปันผลและ Dividend yield spread ที่น่าสนใจมากกว่า
[Theme Play] 
 
หุ้น US Small Cap: ดัชนี Russell 2000 ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ภายหลังเฟดเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน และเป็นแรงหนุนสำคัญต่อหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก ขณะเดียวกัน สัญญาณ Rotation จากหุ้นขนาดใหญ่ไปสู่หุ้นขนาดเล็กเริ่มชัดเจนขึ้น โดยเราประเมินว่าแนวโน้มนี้มีโอกาสเด่นชัดขึ้นอีกในปี 2026 ซึ่งมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการเติบโตกำไรของหุ้นขนาดเล็กที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราเร่งและโดดเด่นกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับน่าสนใจมากกว่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนทั้งนโยบายการเงินผ่อนคลายและการฟื้นตัวของกำไรจะหนุนให้หุ้น US Small Cap มีโอกาสปรับตัวขึ้นโดดเด่นในระยะถัดไป เรามองเป้าหมายดัชนี Russell 2000 ที่ 2,800 จุด 

China Technology: ดัชนี HSTECH ปรับตัวลงมาบริเวณกรอบแนวรับสำคัญ ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดมักฟื้นตัวขึ้นเมื่อย่อลงมาแตะในอดีต เราประเมินว่าการย่อตัวรอบนี้เป็นโอกาสในการสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง จาก Valuation ที่ยังอยู่ในระดับจูงใจ โดยดัชนีซื้อขายที่ FWD P/E ราว 19.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 22.8 เท่า ขณะเดียวกัน แนวโน้มกำไรของบริษัทเทคโนโลยีมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2026 อีกทั้ง การประชุมโปลิตบูโรจีนส่งสัญญาณใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกมากขึ้น ทำให้ยังคงสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ โดยรวมเราประเมินว่าจังหวะปรับฐานใกล้แนวรับเป็นจุดที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ จาก Valuation น่าสนใจ ในขณะที่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีใน 1-2 ปีข้างหน้า

Europe Equity:
สัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยุโรปยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับควบคุมได้ โดยเราประเมินว่าผลของการลดดอกเบี้ยตลอดรอบปีที่ผ่านมาของ ECB มีแนวโน้มเริ่มส่งผ่านสู่ภาคจริงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาคการผลิตให้ทยอยปรับตัวดีขึ้นในระยะถัดไป ขณะเดียวกันประธาน ECB ชี้มีโอกาสปรับเพิ่มการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปในการประชุมเดือน ธ.ค. จากเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่าคาด ช่วยหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 มีการเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 มีโอกาสนำไปสู่การอัปเกรด EPS Growth และช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน นอกจากนี้ หุ้นยุโรปยังมีโอกาสได้รับประโยชน์จากกระแส Country Rotation ออกจากสหรัฐฯ หลังนักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทำให้ยุโรปเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความน่าสนใจมากขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ

 
[Event Play]
 
Global Healthcare: เราประเมินว่าโมเมนตัมของหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมีแนวโน้มเดินหน้าต่อ แม้ระยะสั้นจะเห็นการพักฐานหลังปรับตัวขึ้นแรงในเดือนที่ผ่านมา โดยปัจจัยลบต่างๆ ที่คลี่คลายลง ขณะที่ Valuation ของกลุ่มยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมที่ตึงตัวมากขึ้น ยังคงเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อภาพการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่ม Healthcare นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านมูลค่าที่สูงในหุ้นธีม AI อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการ Rotation จากหุ้น Growth ไปสู่หุ้น Defensive ซึ่งกลุ่ม Healthcare ถือเป็นหนึ่งใน Defensive Sector  จึงมีโอกาสได้รับประโยชน์โดยตรงจากการปรับพอร์ตของนักลงทุน
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5