PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: BOT BOE ลง ECB คง BOJ ขึ้น เวียดนามดัน Free-trade สู่ Economic hub (22 – 26 December 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|19 Dec 25 1:00 PM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 22 - 26 ธันวาคม 2025
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

ตลาดหุ้นยังคงมีแนวโน้มผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับบริษัทในกลุ่ม AI นำโดย Oracle ซึ่งมีกระแสเงินสดติดลบและฐานะทางการเงินที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม บริษัทขนาดใหญ่ (Hyperscaler) ยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ดีในช่วงที่ผ่านมา ความกังวลดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยที่เพิ่มความผันผวนให้กับตลาด และอาจนำไปสู่การเกิด Sector Rotation จากกลุ่ม AI ไปสู่กลุ่ม Defensive มากขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่เรายังคงแนะนำอยู่ ในขณะเดียวกัน Valuation ของ S&P500 ที่อยู่ในระดับตึงตัวในปัจจุบัน อาจส่งผลให้ผลตอบแทนมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากหุ้น US Large Cap ไปสู่ US Small Cap มากขึ้น ด้าน Country Rotation นักลงทุนที่กังวลต่อหุ้นกลุ่ม AI มีแนวโน้มกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดหุ้นที่มีสัดส่วนการลงทุนในเทคโนโลยีสูง ไปสู่ตลาดที่มีสัดส่วนเทคโนโลยีต่ำกว่า เช่น ยุโรป ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่คาดว่าจะเห็นการเติบโตของ EPS เร่งตัวขึ้นในปี 2026

ตราสารหนี้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) อายุ 10 ปี ยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูงกว่า 4.1% แม้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ แสดงสัญญาณอ่อนแอ และอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง แต่ด้วยเศรษฐกิจที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง ส่งผลให้เฟดยังคงมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างจำกัด ขณะเดียวกัน ความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลังยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ Bond Yield ของตราสารหนี้ระยะยาวทรงตัวในระดับสูงและมีความผันผวน เรายังคงประเมินว่าตราสารหนี้อายุ 2–5 ปี เป็นช่วงอายุตราสารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงทุนในภาวะปัจจุบัน

 
 สินทรัพย์ทางเลือก
 

เราประเมินว่าทองคำยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ $4,200–4,400 หลังตัวเลขตลาดแรงงานและเงินเฟ้อของสหรัฐฯเพิ่มความหวังที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อ อย่างไรก็ตามเราประเมินว่าราคาทองคำได้ตอบสนองต่อปัจจัยดังกล่าวไป แล้ว ราคาจึงมีแนวโน้มแกว่งตัวไปจนถึงไตรมาส 1/2026 ขณะที่ระยะยาวทองคำยังน่าสนใจในการลงทุน

 

ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น โดยเราชื่นชอบ REITs ไทย มากกว่า REITs โลก จากอัตราเงินปันผลและ Dividend yield spread ที่น่าสนใจมากกว่า

[Theme Play] 
 
หุ้น US Small Cap: ดัชนี Russell 2000 ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ภายหลังเฟดเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน และเป็นแรงหนุนสำคัญต่อหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก ขณะเดียวกัน สัญญาณ Rotation จากหุ้นขนาดใหญ่ไปสู่หุ้นขนาดเล็กเริ่มชัดเจนขึ้น โดยเราประเมินว่าแนวโน้มนี้มีโอกาสเด่นชัดขึ้นอีกในปี 2026 ซึ่งมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการเติบโตกำไรของหุ้นขนาดเล็กที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราเร่งและโดดเด่นกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับน่าสนใจมากกว่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนทั้งนโยบายการเงินผ่อนคลายและการฟื้นตัวของกำไรจะหนุนให้หุ้น US Small Cap มีโอกาสปรับตัวขึ้นโดดเด่นในระยะถัดไป เรามองเป้าหมายดัชนี Russell 2000 ที่ 2,800 จุด 

China Technology: ดัชนี HSTECH ปรับตัวลงมาบริเวณกรอบแนวรับสำคัญ ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดมักฟื้นตัวขึ้นเมื่อย่อลงมาแตะในอดีต เราประเมินว่าการย่อตัวรอบนี้เป็นโอกาสในการสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง จาก Valuation ที่ยังอยู่ในระดับจูงใจ โดยดัชนีซื้อขายที่ FWD P/E ราว 19.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 22.8 เท่า ขณะเดียวกัน แนวโน้มกำไรของบริษัทเทคโนโลยีมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2026 อีกทั้ง การประชุมโปลิตบูโรจีนส่งสัญญาณใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกมากขึ้น ทำให้ยังคงสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ โดยรวมเราประเมินว่าจังหวะปรับฐานใกล้แนวรับเป็นจุดที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ จาก Valuation น่าสนใจ ในขณะที่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีใน 1-2 ปีข้างหน้า

Europe Equity:
สัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยุโรปยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับควบคุมได้ โดยเราประเมินว่าผลของการลดดอกเบี้ยตลอดรอบปีที่ผ่านมาของ ECB มีแนวโน้มเริ่มส่งผ่านสู่ภาคจริงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาคการผลิตให้ทยอยปรับตัวดีขึ้นในระยะถัดไป ขณะเดียวกันประธาน ECB ชี้มีโอกาสปรับเพิ่มการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปในการประชุมเดือน ธ.ค. จากเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่าคาด ช่วยหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 มีการเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 มีโอกาสนำไปสู่การอัปเกรด EPS Growth และช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน นอกจากนี้ หุ้นยุโรปยังมีโอกาสได้รับประโยชน์จากกระแส Country Rotation ออกจากสหรัฐฯ หลังนักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทำให้ยุโรปเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความน่าสนใจมากขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ

 
[Event Play]
 
Global Healthcare: เราประเมินว่าโมเมนตัมของหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมีแนวโน้มเดินหน้าต่อ แม้ระยะสั้นจะเห็นการพักฐานหลังปรับตัวขึ้นแรงในเดือนที่ผ่านมา โดยปัจจัยลบต่างๆ ที่คลี่คลายลง ขณะที่ Valuation ของกลุ่มยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมที่ตึงตัวมากขึ้น ยังคงเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อภาพการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่ม Healthcare นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านมูลค่าที่สูงในหุ้นธีม AI อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการ Rotation จากหุ้น Growth ไปสู่หุ้น Defensive ซึ่งกลุ่ม Healthcare ถือเป็นหนึ่งใน Defensive Sector  จึงมีโอกาสได้รับประโยชน์โดยตรงจากการปรับพอร์ตของนักลงทุน
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5