PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: รูปีอ่อนฮวบประวัติการณ์เสี่ยงหุ้นอินเดีย ลุ้นเฟดลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ของปี (8 – 12 December 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|4 Dec 25 1:40 PM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 8 - 12 ธันวาคม 2025
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

สัปดาห์หน้า จับตาการประชุม FOMC วันที่ 10 ธ.ค. เราคาดว่าเฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ของปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกัน การส่งสัญญาณผ่าน Dot plot หากออกมาในโทน Dovish จะเป็นแรงหนุนเพิ่มเติมต่อทิศทางตลาดในระยะสั้น แม้ Valuation ของตลาดหุ้นโลกเริ่มตึงตัวหลังจากปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แต่เรายังประเมินว่าทิศทางหลักของตลาดยังเป็นเชิงบวก โดยความผันผวนระหว่างทางมองเป็น “จังหวะสะสม” โดยเฉพาะหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตของกำไรโดดเด่นในปีหน้า เช่น หุ้นเทคโนโลยีจีน และหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรป มีโอกาสได้รับแรงหนุนจากกระแส Country Rotation ออกจากสหรัฐฯ เพื่อลดการกระจุกตัวในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ พัฒนาการเชิงบวกของการเจรจายุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน ยังเป็นปัจจัยเสริม Sentiment ต่อหุ้นยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวต่อราคาพลังงาน

 
ตราสารหนี้

Bond Yield สหรัฐฯ มีแนวโน้มแกว่งตัวลงสู่ใกล้ 4% จากแรงหนุนของการยุติ QT และความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. อย่างไรก็ดี ขาดดุลการคลังสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง ยังเป็นปัจจัยจำกัดการปรับลงของ Bond Yield สำหรับตราสารหนี้ระยะยาว เราจึงประเมินว่า ช่วงอายุ 3–5 ปี เป็นช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากรับอานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง ขณะเดียวกันมีความเสี่ยงด้าน Duration ไม่สูงจนเกินไป ทั้งนี้ เรายังคงชื่นชอบตราสารหนี้สหรัฐฯ–โลกมากกว่าไทย จากระดับ Current yield ที่น่าสนใจกว่า

 
 สินทรัพย์ทางเลือก
 
เราประเมินว่าทองคำยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ $4,000–$4,200 และอยู่ในช่วงสร้างฐานราคา แม้การลดดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นแรงหนุน แต่ความคืบหน้าการเจรจายุติสงครามรัสเซีย–ยูเครนยังเป็นปัจจัยกดดัน ทำให้ราคามีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบไปจนถึงไตรมาส 1/2026 ขณะที่ระยะยาวทองคำยังน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง

ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น โดยเราชื่นชอบ REITs ไทย มากกว่า REITs โลก จากอัตราเงินปันผลและ Dividend yield spread ที่น่าสนใจมากกว่า
[Theme Play] 
 
หุ้น US Small Cap: หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กได้รับแรงหนุนจากวงจรดอกเบี้ยขาลงและนโยบายการคลังของรัฐบาลทรัมป์ อย่างนโยบาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีรายได้ในประเทศกว่า 80% ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี Russell 2000 เริ่มกลับมาเติบโต YoY เป็นบวก ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ในไตรมาส 3/2025 และคาดว่าจะเร่งตัวต่อเนื่องในปี 2026 ขณะที่เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและสนับสนุนการฟื้นตัวของกำไร นอกจากนี้ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ FWD P/E ราว 17.5 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 23 เท่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนทั้งนโยบายการเงินผ่อนคลายและการฟื้นตัวของกำไร จะหนุนให้หุ้น US Small Cap มีโอกาสปรับตัวขึ้นโดดเด่นในระยะถัดไป

China Technology: ดัชนี HSTECH ปรับตัวลงมาบริเวณกรอบแนวรับสำคัญ ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดมักฟื้นตัวขึ้นเมื่อย่อลงมาแตะในอดีต เราประเมินว่าการย่อตัวรอบนี้เป็นโอกาสในการสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง จาก Valuation ที่ยังอยู่ในระดับจูงใจ โดยดัชนีซื้อขายที่ FWD P/E ราว 19.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 22.8 เท่า ขณะเดียวกัน แนวโน้มกำไรของบริษัทเทคโนโลยีมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2026 อีกทั้ง ได้รับแรงหนุนจากมาตรการสนับสนุนภาคเทคโนโลยีของรัฐบาลจีนที่ยังดำเนินอยู่ ทำให้ยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ โดยรวมเราประเมินว่าจังหวะปรับฐานใกล้แนวรับเป็นจุดที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ จาก Valuation น่าสนใจ ในขณะที่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีใน 1-2 ปีข้างหน้า

Europe Equity:
สัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยุโรปยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับควบคุมได้ โดยเราประเมินว่าผลของการลดดอกเบี้ยตลอดรอบปีที่ผ่านมาของ ECB มีแนวโน้มเริ่มส่งผ่านสู่ภาคจริงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาคการผลิตให้ทยอยปรับตัวดีขึ้นในระยะถัดไป ขณะเดียวกัน การส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยจาก BoE ถือเป็นอีกปัจจัยบวกต่อ Sentiment การลงทุนในยุโรป ด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 มีการเร่งตัวขึ้นในไตรมาสที่ 3/2025 และคาดว่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 มีโอกาสนำไปสู่การอัปเกรด EPS Growth และช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน นอกจากนี้ หุ้นยุโรปยังมีโอกาสได้รับประโยชน์จากกระแส Country Rotation ออกจากสหรัฐฯ หลังนักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทำให้ยุโรปเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความน่าสนใจมากขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ

 
[Event Play]
 
Global Healthcare: เราประเมินว่าโมเมนตัมของหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมีแนวโน้มเดินหน้าต่อ แม้ระยะสั้นจะเห็นการพักฐานหลังปรับตัวขึ้นแรงในเดือนที่ผ่านมา โดยปัจจัยลบต่างๆ ที่คลี่คลายลง ขณะที่ Valuation ของกลุ่มยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมที่ตึงตัวมากขึ้น ยังคงเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อภาพการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่ม Healthcare นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านมูลค่าที่สูงในหุ้นธีม AI อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการ Rotation จากหุ้น Growth ไปสู่หุ้น Defensive ซึ่งกลุ่ม Healthcare ถือเป็นหนึ่งใน Defensive Sector  จึงมีโอกาสได้รับประโยชน์โดยตรงจากการปรับพอร์ตของนักลงทุน
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5