หลังการประชุมนักวิเคราะห์ เรายังคงเลือก TIDLOR เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มเงินทุน โดยได้รับการสนับสนุนจาก: 1) valuation ที่ถูกที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน และ 2) การคาดการณ์ว่ากำไรจะฟื้นตัวได้ดีโดยได้แรงหนุนจาก credit cost ที่ลดลง การเติบโตของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นจากการผ่อนปรนนโยบายปล่อยสินเชื่อและการขยายตัวของ NIM และ 3) แนวโน้มที่จะมีการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลหลังจากปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทเป็น holding company
เราปรับราคาเป้าหมายของ TIDLOR เพิ่มขึ้นจาก 18 บาท เป็น 21 บาท เนื่องจากเราปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น โดยปรับประมาณการ credit cost ลดลงเพื่อสะท้อน NPL ไหลเข้าที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง และการการตัดหนี้สูญที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
NPL ไหลเข้าและ credit cost จะลดลงใน 4Q67 TIDLOR พบว่า NPL ไหลเข้าและ credit cost ลดลงใน 4Q67 โดย NPL ที่ไหลเข้าลดลง QTD เป็นผลมาจาก: 1) นโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นของบริษัท 2) แรงหนุนจากการที่รัฐบาลแจกเงิน 10,000 บาทในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. และ 3) การติดตามหนี้เชิงรุกโดยสาขา ทั้งนี้หลังจากการตัดหนี้สูญเชิงรุกส่วนใหญ่เสร็จสิ้นใน 2Q67 และ 3Q67 TIDLOR คาดว่าจะไม่มีการเร่งตัดหนี้สูญเพิ่มใน 4Q67 ดังนั้นบริษัทจึงคาดว่า credit cost จะลดลงอย่างมากใน 4Q67 เราปรับประมาณการ credit cost ปี 2567 ลดลง 20 bps สู่ 3.65% (+26 bps) และคาดว่า credit cost จะลดลง 35 bps QoQ ใน 4Q67 นอกจากนี้ เรายังปรับประมาณการ credit cost ปี 2568 ลดลง 20 bps มาอยู่ที่ 3.6% (-5 bps) ด้วย
ผ่อนปรนนโยบายปล่อยสินเชื่อ = สินเชื่อเติบโตเพิ่มขึ้น TIDLOR เริ่มผ่อนปรนนโยบายปล่อยสินเชื่อตั้งแต่เดือนต.ค. เนื่องจากบริษัทพบแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ดังนั้นการเติบโตของสินเชื่อคาดว่าจะเพิ่มขึ้นใน 4Q67 (หลังจากทรงตัวใน 3Q67 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นและการตัดหนี้สูญมากขึ้น) TIDLOR คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตต่ำกว่าเป้าที่บริษัทวางไว้ที่ 10% เล็กน้อย เราคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ 8% ในปี 2567 และ 10% ในปี 2568
NIM ขยายตัวต่อเนื่อง TIDLOR คาดว่า NIM จะเพิ่มขึ้นอีก 22 bps QoQ ใน 4Q67 และ 64 bps ในปี 2568 อันเป็นผลมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 200 bps ตั้งแต่ 4Q66 เพื่อสะท้อนความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้นจากนโยบายกำหนดราคาตามความเสี่ยง TIDLOR คาดว่าต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นอีกไม่เกิน 20 bps ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า TIDLOR จะได้รับประโยชน์จากความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก
ปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น; มีแนวโน้มฟื้นตัวดี เราปรับประมาณการกำไรของ TIDLOR เพิ่มขึ้น 4% ในปี 2567 และ ปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับประมาณการ credit cost ลดลง โดยปัจจุบันเราคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 12% ในปี 2567 (8% สำหรับ EPS) เราคาดว่ากำไร 4Q67 จะเพิ่มขึ้น 9% QoQ (credit cost ลดลง NIM ขยายตัว และสินเชื่อเติบโตเพิ่มขึ้น) และ 20% YoY สำหรับปี 2568 เราคาดว่ากำไรจะเติบโต 15% โดยได้รับการสนับสนุนจากสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโต 10% NIM ที่ขยายตัว 64 bps และ credit cost ที่ลดลง 5 bps
ปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทเป็น holding company = เพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล TIDLOR คาดว่าจะปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทเป็น holding company เสร็จในเดือนม.ค. 2568 ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้เพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล โดยที่เราคาดว่าบริษัทจะปรับอัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 25%
ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น; valuation ถูกสุด เราปรับราคาเป้าหมายของ TIDLOR เพิ่มขึ้นจาก 18 บาท เป็น 21 บาท (ที่ PBV 1.7 เท่า หรือ PE 12.5 เท่า สำหรับปี 2568) ปัจจุบันหุ้น TIDLOR ซื้อขายที่ valuation ถูกสุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันที่ PBV 1.4 เท่า (เทียบกับ ROE 14.5%) และ PE 10.3 เท่า (เทียบกับ EPS growth ที่ 15%) สำหรับปี 2568
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง 2) ความเสี่ยงด้าน credit cost จากราคารถมือสองที่ลดลง 3) การแข่งขันที่สูงขึ้นจากธนาคารต่างๆ 4) ความเสี่ยงด้านกฎหมาย และ 5) ความเสี่ยง ESG จากการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (market conduct)