Derivatives

[ไฮไลต์เนื้อหา TFEX Trader Camp รุ่นที่ 6] Session 3 & 5: 3 เสาหลัก Technical Analysis สู่การเทรดจริงอย่างยั่งยืนด้วย Trade Thesis

2 Dec 25 4:08 PM
รู้จักผลิตภัณฑ์ลงทุน1
สรุปสาระสำคัญ

การก้าวข้ามจากมือใหม่สู่มืออาชีพในตลาด TFEX ไม่ได้วัดกันที่ใครรู้เครื่องมือมากกว่ากัน แต่อยู่ที่ความสามารถในการ "สร้างกลยุทธ์" ที่ทำกำไรได้จริงบนความเสี่ยงที่ต่ำ บทเรียนสำคัญจาก TFEX Camp 6 เริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐานผ่าน 3 เสาหลักทางเทคนิค ได้แก่ การอ่านแนวโน้ม (Trend) การหาโซนราคา (Levels) และการจับจังหวะ (Timing) เพื่อเฟ้นหาจุดเข้าทำที่ได้เปรียบที่สุด แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะมืออาชีพจะยกระดับกราฟเทคนิคให้กลายเป็น "Trade Thesis" ที่สมบูรณ์ด้วยการผสานปัจจัยสนับสนุนจากข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญ (Catalyst) เข้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันตายและเป็นจุดชี้วัดความอยู่รอดคือกฎเหล็กด้าน Money Management การมีแผนที่ชัดเจน การคำนวณความคุ้มค่า (RRR) และการจำกัดความเสี่ยงไม่ให้เกิน 1% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง คือหัวใจสำคัญที่จะปกป้องพอร์ตจากการขาดทุนหนักจนกู้คืนไม่ได้ ซึ่งเป็นกุญแจดอกสุดท้ายสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

จุดเปลี่ยนสำคัญ! อยาก Turn Pro ต้องรู้

อะไรคือสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างนักเทรดมือใหม่กับมืออาชีพ? คำตอบคือ ไม่ใช่แค่การ "รู้" เครื่องมือเทคนิค แต่คือการ "สร้าง" กลยุทธ์ที่ทำซ้ำได้บนความเสี่ยงที่ต่ำเพียงพอ (Low-risk Approach Strategy) ที่จะทำให้นักลงทุนอยู่รอดได้ในตลาดที่ผันผวนและไม่แน่นอน เพื่อที่จะรอโอกาสที่ “ใช่” ที่สุดสำหรับเทรดเพื่อทำกำไรได้อย่างเสถียรและต่อเนื่อง

 

สำหรับนักลงทุนที่พลาด "TFEX Camp 6" หรืออยากทบทวนประเด็นสำคัญ ทาง InnovestX ได้สรุป Key Lessons จากทั้ง Session 3 "จับกราฟเป็น เห็นจังหวะทำกำไร" และ Session 5 " Case Studies จริง: ฝ่าวิกฤต-คว้าโอกาสทอง" มาให้แบบกระชับและนำไปใช้ได้จริง

 

แน่นอนว่าหัวใจสำคัญของแคมเปญนี้ คือการยกระดับนักลงทุนจากการเพียงแค่ "รู้จักเครื่องมือ" (Tools) ไปสู่การ "สร้างกลยุทธ์" (Strategy) ที่ครบถ้วนและสามารถนำไปเทรดทำกำไรได้จริงอย่างยั่งยืนแบบมืออาชีพ โดยในภาคสรุปนี้เราจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักดังนี้

 

ส่วนที่ 1: The Tools - 3 เสาหลัก "จับกราฟเป็น"

ใน Session 3 เราได้ปูพื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ที่เรียบง่ายและทรงประสิทธิภาพ ด้วย 3 เสาหลักที่ต้องใช้ร่วมกันเสมอ:

  1. เสาหลักที่ 1: Trend (แนวโน้ม)
    • เครื่องมือ: เส้นค่าเฉลี่ย (MA50)
    • วิธีใช้: MA50 ทำหน้าที่เป็น "ศูนย์กลางแรงโน้มถ่วง" ของราคา เพื่อระบุแนวโน้มหลัก (ขาขึ้น/ขาลง/Sideways) หากราคาอยู่เหนือเส้น MA50 ที่ชันขึ้น เราจะมองหาจังหวะ Long ในทางกลับกัน หากราคาอยู่ใต้เส้น MA50 ที่ชันลง เราจะมองหาจังหวะ Short
    • กฎเหล็กคือ "เทรดตามแนวโน้ม" (Trend is Your Friend): เดินทางไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้ม ประหนึ่งว่ามันคือเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของเรา เพราะมันคือหนทางที่ง่ายและสบายที่สุดในการทำกำไร

 

Uptrend.png

ตัวอย่าง: กราฟราคาวิ่งขึ้นเหนือเส้น EMA50 วัน แสดงว่าแนวโน้มหลักเป็นแนวโน้มขาขึ้น

 

Downtrend.png

ตัวอย่าง: กราฟราคาวิ่งลงใต้เส้น EMA50 วัน แสดงว่าแนวโน้มหลักเป็นแนวโน้มขาลง

 

  1. เสาหลักที่ 2: Levels (ระดับราคา)
    • เครื่องมือ: แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)
    • วิธีใช้: นี่คือ "โซนความจำ" ของตลาด (Memory Zones) ที่เคยมีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามาอย่างหนาแน่นในอดีต (จุดสูงสุด/ต่ำสุดเดิม)
    • เราใช้โซนเหล่านี้เพื่อกำหนดจุดเข้า-ออกที่ได้เปรียบ คือ ซื้อที่แนวรับ และขายที่แนวต้าน
    • Role Reversal: เมื่อแนวต้านถูกทะลุขึ้นไป มันมักจะกลับกลายเป็นแนวรับใหม่ (Resistance to Support) และเมื่อแนวรับถูกทะลุลงมา มันก็มักจะกลายเป็นแนวต้านใหม่ (Support to Resistance) เช่นกัน

 

SR-Zone.png

ตัวอย่าง: โซนแนวรับ (Resistance Zone) และโซนแนวต้าน (Support Zone) ในกราฟราคา

 

  1. เสาหลักที่ 3: Timing (จังหวะ)
    • เครื่องมือ: RSI (Relative Strength Index)
    • วิธีใช้: ใช้เพื่อ "ยืนยัน" จังหวะเข้าเทรด โดยดูภาวะ Overbought (แรงซื้อมากเกินไป; RSI > 70) หรือ Oversold (แรงขายมากเกินไป; RSI < 30)
    • ข้อควรระวัง: ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) แนวโน้มที่แข็งแกร่ง RSI สามารถ "Overbought" และอยู่ค้างที่ระดับดังกล่าวได้นานเป็นพิเศษ ดังนั้น การใช้สัญญาณ "Divergence" (เช่น ราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI ไม่สร้างจุดสูงสุดใหม่ตาม) จะเป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวที่ทรงพลังกว่า

 

RSI-signals.png

ตัวอย่าง: สัญญาณต่างๆ จาก RSI เช่น Overbought Oversold และ Divergence

 

เมื่อนำ 3 เสาหลักมารวมกัน จะเกิดเป็น "สูตรการเทรด" ที่ชัดเจน เช่น:

  • หน้า Long (Buy on Dip): ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (ราคา > MA50) + ราคาย่อตัวกลับลงมาที่แนวรับสำคัญ + RSI เริ่มเข้าสู่เขต Oversold หรือเกิด Bullish Divergence
  • หน้า Short (Sell on Rally): ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง (ราคา < MA50) + ราคาดีดตัวกลับขึ้นไปที่แนวต้านสำคัญ + RSI เริ่มเข้าสู่เขต Overbought หรือเกิด Bearish Divergence

 

ส่วนที่ 2: The Strategy - การเทรดจริงแบบมืออาชีพ

ใน Session 5 เรายกระดับการเทรดขึ้นไปอีกขั้น โดยเน้นว่า "การเทรดจริง" ไม่ได้มีแค่กราฟเทคนิค แต่คือการสร้าง "Trade Thesis" (สมมติฐานการเทรด) ที่ต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก:

  1. Technical Analysis (TA) – The “What”: "กราฟ" กำลังบอกอะไร เราจะใช้ 3 เสาหลักจากส่วนที่ 1 เพื่อหา 'Setup' ที่ได้เปรียบสำหรับการเทรด
  2. Event Play / Catalyst – The “Why”: "ข่าว" หรือ "เหตุการณ์" สำคัญที่จะมากระทบราคามีอะไรบ้าง เช่น การประชุม Fed, สงคราม, ข่าวเฉพาะตัวหุ้น ดังนั้น การมี Catalyst ที่ดีจะช่วยยืนยัน Setup ของเรา
  3. Money Management (MM) – The “How”: "แผนการเงิน" และ "การควบคุมความเสี่ยง" ของเราเป็นอย่างไร? เราจะบริหารการเทรดนี้อย่างไรให้รอดในระยะยาว

การเทรดที่มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบ (TA สวย + Catalyst หนุน + MM รัดกุม) ถือเป็น A-Grade Setup ที่มืออาชีพมองหา

 

Trade-Flow.png

ตัวอย่าง: Flow Plan แสดงขั้นตอนการเตรียมตัวเบื้องต้นสำหรับเทรด

*การวางแผนจริงอาจมีความแตกต่างและสามารถเปลี่ยนไปตามเป้าหมายและความเสี่ยงของนักลงทุน และตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงการใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน

 

ส่วนที่ 3: The Game Changer - หัวใจคือ Money Management (MM)

Case Studies จาก Session 5 ย้ำชัดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นตัวตัดสินผลแพ้ชนะในระยะยาว คือ Money Management (MM) ซึ่งเป็นส่วนที่แยก "นักพนัน" (Gambler) ออกจาก "นักเทรด" (Trader)

  • แผนการเทรด (Action Plan) ต้องชัดเจน: นี่คือ "สัญญา" ที่คุณทำกับตัวเอง ก่อน ที่จะเข้าเทรด ในตอนที่อารมณ์ยังนิ่ง แผนนี้ต้องตอบให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อเสมอ คือ จุดเข้า (Entry) จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และ จุดทำกำไร (Take Profit)
  • คำนวณ Risk-to-Reward (RRR): ตรวจสอบว่าการเทรดนี้ "คุ้ม" ที่จะเสี่ยงหรือไม่? มืออาชีพจะมองหา RRR ที่อย่างน้อย 1:2 (เช่น เสี่ยง 1 บาท เพื่อคาดหวังกำไร 2 บาท) เพราะนั่นหมายความว่าคุณสามารถเทรดผิดได้มากกว่าถูก (เช่น ถูก 4 ใน 10 ครั้ง) แต่พอร์ตโดยรวมยังทำกำไรได้
  • จำกัดความเสี่ยง (The 1% Rule): นี่คือ "เกราะกันตาย" ที่ทรงพลังที่สุด คือการจำกัดความเสียหายในแต่ละเทรดไม่ให้เกิน 1% ของพอร์ตทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าการเทรดที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว จะไม่สามารถทำลายพอร์ตของคุณได้
  • เข้าใจสัจธรรมของ Loss Recovery: การขาดทุนหนัก "กู้คืน" ได้ยากมาก ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การกู้คืนทางคณิตศาสตร์ แต่รวมถึงทางจิตวิทยาด้วย
    • หากคุณขาดทุน -10%... คุณต้องทำกำไรคืน +11% (ยังพอไหว)
    • หากคุณขาดทุน -50%... คุณต้องทำกำไรคืนถึง +100% เพื่อให้กลับมาเท่าทุน (ยากมาก)
    • สิ่งที่ควบคุมยากที่สุดคือ ความเสียหายทางจิตใจ (Psychological Loss) เพราะมันจะทำให้เราอยากเทรด “นอกแผน” เพื่อ “เอาคืน” ตลาด (Revenge Trading) ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดในการเทรด

 

ดังนั้น การมี Stop Loss และวินัยใน MM จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเทรดเดอร์ เพราะมันช่วยปกป้องคุณจาก "การขาดทุนครั้งหายนะ" ที่จะทำให้คุณออกจากเกมไปตลอดกาล

 

Loss-Recovery-Gen.png

ตัวอย่าง: ตาราง Loss Recovery แสดงถึงขนาดการทำกำไรบนเงินทุนคงเหลือ (Gain to Recover) ให้กลับมาเท่าทุนเดิม

 

Trade Thesis ที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

การเทรด TFEX ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การเสี่ยงโชค แต่คือการวางแผนอย่างเป็นระบบ และ "ทำตามแผน" อย่างมีวินัย โดยเริ่มต้นจากการใช้เครื่องมือ TA ที่ถูกต้อง (สามารถทบทวนได้จาก Session 3) เพื่อหา Setup ที่ดี ผสานกับการวิเคราะห์ปัจจัยหนุน (Event) เพื่อสร้าง Trade Thesis ที่สมเหตุสมผล และปิดท้ายด้วยเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง Money Management (ที่ได้กล่าวไว้ใน Session 5)

 

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการฝึกฝนนำแนวคิดเหล่านี้ไปใช้ ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านบทวิเคราะห์ "TFEX Daily" จากทีมงาน InnovestX Research และเรียนรู้การใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ จากทีมงาน Trading Product Specialist บน Cafe Invest ไม่ใช่เพื่อ "ลอก" แต่เพื่อ "เรียนรู้" ว่ามืออาชีพสร้าง Trade Thesis และวางกลยุทธ์ในทุกๆ วันอย่างไร

 

 

Disclaimer: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนการซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่น มีความเสี่ยงสูงที่อาจก่อนให้เกิดผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจังไม่เหมาะสมกับบุคคลทุกคน ก่อนตัดสินใจซื้อขายฟิวสเจอร์สและออปชั่น ท่านควรพิจารณาถึงฐานะทางการเงินวัตถุประสงค์การลงทุน ตลอดจนความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้อย่างรอบคอบเนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ท่านอาจสุญเสียเงินลงทุนมากกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5