Digital Assets

มารู้จัก Stablecoin 4 ประเภท: ต่างกันอย่างไร ก่อนที่จะใช้งานหรือถือครอง

12 Dec 25 4:55 PM
Crypto Currency
สรุปสาระสำคัญ

Stablecoin สามารถจำแนกได้เป็น 4 ประเภทหลัก โดยแต่ละประเภทมีกลไกค้ำประกัน โครงสร้างการทำงาน และความเสี่ยงเฉพาะที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจใช้งานหรือถือครอง

  1. Fiat-Collateralized Stablecoins
    ค้ำประกันด้วยเงินตรา 1:1 เช่น USD หรือ T-bills ผู้ออกต้องถือสินทรัพย์สำรองเต็มจำนวน จุดเด่นคือธุรกรรมรวดเร็ว ต้นทุนต่ำ และได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นภายใต้กรอบ GENIUS Act แต่มีความเสี่ยงด้านผู้ดูแลสินทรัพย์ (custodial) และความโปร่งใส (transparency)
  2. Commodity-Collateralized Stablecoins
    ค้ำด้วยสินทรัพย์จริง เช่น ทองคำ ตรวจสอบได้และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ Safe Haven แต่มีความเสี่ยงเรื่องการจัดเก็บและต้นทุนปฏิบัติการที่สูงกว่าเงินสด
  3. Crypto-Collateralized Stablecoins
    ใช้คริปโทเป็นหลักประกันแบบ over-collateralized > 150% จุดเด่นคือกระจายศูนย์ (decentralized) แต่มีความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาหลักประกัน และต้นทุนทุนสูงจากการค้ำเกินมูลค่า
  4. Algorithmic Stablecoins
    ไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ใช้กลไกอัลกอริทึมปรับอุปทานเพื่อรักษา peg มีจุดเด่นด้าน Scalability แต่เสี่ยงสูงต่อ peg instability และมีประวัติล้มเหลว เช่น UST/LUNA

Stablecoin แต่ละประเภทมีบทบาทต่างกัน และนักลงทุนควรประเมินทั้งความโปร่งใส กลไกค้ำประกัน และความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ก่อนตัดสินใจใช้งานหรือถือครอง

ประเภทของ Stablecoin และโครงสร้างความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเข้าใจ

 

Stablecoin_Types.png

Source : Certik as of 9 December 2025

 

 

 1. Fiat-Collateralized Stablecoins (Stablecoin ที่ค้ำประกันด้วยเงินตรา)

 

Stablecoin ประเภทนี้ได้รับการค้ำประกันด้วยเงินตรา เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด เช่น ตั๋วเงินคลังสหรัฐระยะสั้น (U.S. T-bills) ในอัตราส่วน 1:1 โดยผู้ออกเหรียญต้องถือสินทรัพย์สำรองเต็มจำนวน รองรับการไถ่ถอนทุกเวลา ภายใต้กรอบกำกับดูแลของสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างสำคัญ ได้แก่

  • Tether (USDT) ผู้ออกเหรียญที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 60%
  • USD Coin (USDC) จาก Circle ซึ่งเน้นมาตรฐานความโปร่งใสภายใต้การกำกับดูแล และจดทะเบียนในตลาด NYSE

 

 

จุดเด่น

 

การชำระเงินรวดเร็วและต้นทุนต่ำ:

ด้วยการทำงานบนบล็อกเชน Stablecoin สามารถโอนข้ามพรมแดนแบบเกือบเรียลไทม์ ต้นทุนถูกกว่าเครือข่ายการโอนเงินแบบดั้งเดิมอย่าง SWIFT และยังนิยมใช้เป็นสื่อกลางในระบบ DeFi เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาเหรียญอื่น ๆ

 

ได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินมากขึ้นหลัง GENIUS Act:

กฎหมาย GENIUS Act บังคับให้ผู้ออก Stablecoin ต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลระดับรัฐบาลกลางและระดับรัฐ ทำให้โครงสร้างการกำกับดูแลชัดเจนขึ้น สร้างความมั่นใจให้กับธนาคาร, ผู้ให้บริการการชำระเงิน และผู้จัดการกองทุน ส่งผลให้สถาบันวางใจใช้ Stablecoin ในการจัดการสภาพคล่องและธุรกรรมเชิงพาณิชย์มากขึ้น

 

 

ความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

 

Custodial Risk :
นักลงทุนต้องพึ่งพาผู้ออกเหรียญและผู้ดูแลสินทรัพย์ (custodian) ในการถือครองเงินสดและตั๋วเงินคลัง หากเกิดกรณีทุจริต การบริหารผิดพลาด หรือผู้ออกล้มละลาย อาจทำให้สินทรัพย์สำรองไม่เพียงพอต่อการรองรับเหรียญทั้งหมด และกระทบต่อความสามารถในการรักษา peg

 

Transparency Risk :
หากผู้ออกเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน เช่น รายละเอียดผู้ดูแลสินทรัพย์ คู่ค้าทางการเงิน หรือองค์ประกอบของสินทรัพย์สำรอง และไม่มีการตรวจสอบ (audit) จากบุคคลที่สาม ความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของเหรียญจะลดลง และอาจสร้างแรงเทขายในช่วงตลาดผันผวน

 

 

 

2. Commodity-Collateralized Stablecoins (Stablecoin ที่ค้ำประกันด้วยสินค้าโภคภัณฑ์)

 

Commodity-Collateralized Stablecoins  เป็นประเภทนี้ค้ำประกันด้วยสินทรัพย์จริง เช่น ทองคำหรือเงิน โดยผู้ออกเหรียญจัดเก็บสินค้าอยู่ในคลังที่ได้มาตรฐานและออกใบรับฝากดิจิทัล (digital warehouse receipt) เช่น Pax Gold (PAXG) ที่ตรึงราคากับทองคำ 1 ออนซ์ต่อ 1 เหรียญ

 

 

จุดเด่น

 

โครงสร้างที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ :
สินทรัพย์อ้างอิง เช่น ทองคำแท่งมักถูกเก็บในคลังที่ได้รับการกำกับดูแล และมีการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีอิสระทำให้ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบหลักทรัพย์รองรับได้ชัดเจน ลดความกังวลด้านความเชื่อมั่นและเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารสินทรัพย์สำรอง

 

ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ยังต้องการความคล่องตัวสูง :
สินทรัพย์อย่างทองคำยังคงเป็น Safe Haven ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก การผนวกเข้ากับโครงสร้างบล็อกเชนทำให้ผู้ลงทุนได้รับทั้งความมั่นคงและความยืดหยุ่น สามารถเคลื่อนย้ายหรือแบ่งหน่วยสินทรัพย์ได้อย่างสะดวกกว่าเครื่องมือการลงทุนแบบดั้งเดิม

 

 

ความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

 

Custodial Risk :
แม้สินทรัพย์อย่างทองคำจะเป็นของจริง แต่ต้องพึ่งพาคลังจัดเก็บและผู้ดูแลมืออาชีพ ซึ่งมีความเสี่ยงจากการโจรกรรม ความผิดพลาดในการตรวจนับ หรือการยึดทรัพย์ตามข้อกฎหมายของประเทศที่จัดเก็บ ส่งผลต่อความสามารถในการรองรับเหรียญได้โดยตรง

 

Operational Cost Risk :
การจัดเก็บสินค้าโภคภัณฑ์ต้องมีค่าประกัน ค่ารักษาความปลอดภัย และค่าดูแลคลังที่สูงกว่าสินทรัพย์เงินสด ทำให้ต้นทุนในการบริหาร Reserve เพิ่มขึ้น อาจกระทบต่ออัตราผลตอบแทนหรือโครงสร้างค่าธรรมเนียมของผู้ออกเหรียญในระยะยาว

 

 

 

3. Crypto-Collateralized Stablecoins (Stablecoin ที่ค้ำประกันด้วยคริปโทเคอร์เรนซี)

 

ใช้คริปโทเคอร์เรนซี เช่น ETH หรือ BTC เป็นหลักประกัน โดย over-collateralized มากกว่า 150% เพื่อรับมือความผันผวนผ่าน smart contracts บน blockchain

 

ตัวอย่าง

  •  DAI (จาก Sky Ecosystem เดิม MakerDAO)
  • sUSD จาก Synthetix ซึ่งเป็น stablecoin เชิง synthetic ที่ออกบนโปรโตคอลอนุพันธ์แบบกระจายศูนย์

ใช้โครงสร้างการค้ำประกันด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลแทนเงินตรา โดยผู้ใช้งานนำคริปโทเคอร์เรนซี เช่น ETH มาล็อกไว้ใน smart contract เพื่อสร้าง (mint) stablecoin ออกมา เนื่องจากคริปโทมีความผันผวนสูง ระบบจึงต้องกำหนดระดับการค้ำประกันเกินมูลค่า (over-collateralization) เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านราคา

 

 

จุดเด่น

 

Decentralized :
ไม่มีบริษัทใดควบคุมสินทรัพย์สำรอง ผู้ถือเหรียญพึ่งพาระบบสัญญาอัจฉริยะ ลดความเสี่ยงจากการบริหารผิดพลาดของผู้ดูแลส่วนกลาง

 

On-chain Transparency :
ยอดหลักประกันทั้งหมดแสดงบนบล็อกเชนแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ลงทุนตรวจสอบความเพียงพอของหลักประกันได้ทันที เพิ่มความมั่นใจและลดโอกาสการปกปิดข้อมูล

 

 

ความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

 

Volatility Risk :
ราคาคริปโทที่ใช้เป็นหลักประกันมีความผันผวนสูง หากมูลค่าลดลงเร็วเกินไป ระบบอาจต้องบังคับขายหลักประกัน (liquidation) เพื่อรักษา peg ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อผู้กู้และอาจกระทบเสถียรภาพของเหรียญ

 

Overcollateralization Requirement :การค้ำประกันเกินมูลค่ามักต้องใช้หลักประกันมากกว่า 150% ทำให้ต้องผูกมัดเงินทุนจำนวนมากกว่า Stablecoin ที่ค้ำด้วยเงินตรา ส่งผลให้ประสิทธิภาพการใช้ทุนต่ำกว่าและมีต้นทุนโอกาสที่สูงขึ้น

 

 

 

4. Algorithmic Stablecoins (Stablecoin แบบอัลกอริทึม)

 

Algorithmic Stablecoins ไม่มีการถือครองสินทรัพย์สำรองแบบดั้งเดิม แต่รักษา peg ผ่านกลไกอัลกอริทึมที่ ปรับอุปทานแบบไดนามิก (dynamic supply adjustment)

  • เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้นและราคาสูงกว่า $1: โปรโตคอลจะ mint เหรียญเพิ่มเพื่อลดแรงกดดันด้านราคา
  • มื่อราคาต่ำกว่า $1: โปรโตคอลจะลดปริมาณเหรียญผ่านการ burn หรือใช้แรงจูงใจให้ผู้ใช้งานซื้อเหรียญกลับ เพื่อดึงราคาให้สูงขึ้น

ตัวอย่าง

  • Ampleforth (AMPL): ใช้กลไก elastic supply โดยปรับจำนวนเหรียญรายวันตามตัวชี้วัดเศรษฐกิจ
  • TerraUSD (UST): เป็นกรณีศึกษาสำคัญที่แสดงให้เห็นข้อจำกัดของโมเดลอัลกอริทึม เมื่อสูญเสียความเชื่อมั่นของตลาด ทำให้กลไกรักษา peg ล้มเหลวและเกิดการปรับฐานของราคาอย่างรุนแรงในปี 2022

 

จุดเด่น

 

หนึ่งในข้อดีสำคัญของ Algorithmic Stablecoins คือ ความสามารถในการขยายตัว (Scalability) ได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องพึ่งพาสินทรัพย์สำรองในโลกจริง ระบบสามารถปรับปริมาณเหรียญในตลาดตามกลไกอัลกอริทึมโดยอัตโนมัติ เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น โปรโตคอลสามารถขยายอุปทานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีการนำเงินใหม่มาค้ำประกัน ทำให้รองรับการเติบโตของผู้ใช้งานและธุรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

 

Peg Instability:
กลไกอัลกอริทึมอาศัยความเชื่อมั่นของตลาดเป็นหลัก ทำให้เสี่ยงต่อภาวะ “death spiral” เมื่อราคาเหรียญหลุด peg และแรงขายเร่งตัว ส่งผลให้กลไกปรับอุปทานไม่สามารถรักษาเสถียรภาพได้ทัน

 

History of Failures:
กรณี UST/LUNA แสดงให้เห็นข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของโมเดลอัลกอริทึม เมื่อความเชื่อมั่นหายไป ระบบไม่สามารถฟื้น peg ได้ นำไปสู่การสูญเสียมูลค่าครั้งใหญ่และทำลายความเชื่อถือในเหรียญประเภทนี้อย่างมีนัยสำคัญ

 

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5