
Big Cap หมายถึง เหรียญคริปโทเคอร์เรนซีขนาดใหญ่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) มากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหรียญกลุ่มนี้มักมี สภาพคล่องสูง, ความผันผวนต่ำกว่าเหรียญ Mid และ Small Cap อีกทั้งได้รับการยอมรับในวงกว้างทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก เช่น
1. Bitcoin (BTC)
คริปโทแรกบนบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์ ใช้ Proof-of-Work จำนวนจำกัด 21 ล้านเหรียญ ถูกมองเป็น “ทองคำดิจิทัล”
2. Ethereum (ETH)
บล็อกเชนชั้นนำรองรับ Smart Contracts และ DeFi ใช้ Proof-of-Stake และเป็นศูนย์กลางมาตรฐาน ERC-20 / ERC-721
3. BNB (BNB)
โทเคนประจำ BNB Chain และระบบนิเวศ Binance ใช้ชำระค่าธรรมเนียม รับส่วนลด และเป็น Gas Token
4. Solana (SOL)
บล็อกเชน Layer-1 ความเร็วสูง ค่าธรรมเนียมต่ำ เหมาะกับ DeFi, NFT และ Memecoin
5. Ripple (XRP)
โทเค็นเพื่อการชำระเงินข้ามพรมแดน โอนเงินเร็ว ต้นทุนต่ำ และช่วยจัดหาสภาพคล่อง
6. Cardano (ADA)
บล็อกเชน Layer-1 ที่ใช้แนวทางวิจัย Peer-Reviewed ใช้ Proof-of-Stake เน้นความปลอดภัยและความยั่งยืน
7. Bitcoin Cash (BCH)
สกุลเงินดิจิทัลแบบ Peer-to-Peer จาก Hard Fork ของ Bitcoin เพิ่มขนาดบล็อกเพื่อทำธุรกรรมเร็วและถูก
8. Chainlink (LINK)
เครือข่าย Oracle แบบกระจายศูนย์ เชื่อม Smart Contracts กับข้อมูลโลกจริงอย่างปลอดภัย
9. Stellar (XLM)
บล็อกเชนด้านการชำระเงิน โอนข้ามพรมแดนเร็ว ต้นทุนต่ำ มุ่งเน้น Financial Inclusion
10. Avalanche (AVAX)
Layer-1 ประสิทธิภาพสูง Finality เสี้ยววินาที พร้อมสถาปัตยกรรม Subnets สำหรับงานเฉพาะทาง
ในเชิงสากล เหรียญกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็น “Blue Chips ของอุตสาหกรรมคริปโท” เนื่องจากมีความมั่นคงเชิงโครงสร้างมากกว่าโปรเจกต์ขนาดเล็ก ทั้งในด้านขนาดเครือข่าย ผู้ใช้งานจริง ระยะเวลาการดำเนินงาน และการสนับสนุนจากผู้พัฒนา อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ดิจิทัลยังคงมีความเสี่ยง นักลงทุนจึงต้องประเมินปัจจัยพื้นฐานควบคู่กับสภาวะตลาดอย่างรอบคอบ
Crypto Market Cap

Source : InnovestX Investment Products & Strategy, CoinGecko, as of 2 December 2025
เมื่อพิจารณาจากภาพรวม Crypto Market Cap จะเห็นได้ว่าโครงสร้างตลาดถูกขับเคลื่อนโดยเหรียญหลักอย่าง Bitcoin และ Ethereum เป็นสัดส่วนสูงสุด ขณะที่เหรียญในกลุ่ม Large Cap อื่น ๆ เช่น Solana, XRP, BNB และเหรียญโครงสร้างพื้นฐาน (Layer 1/Payment/Oracle และ อื่นๆ) ยังมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขนาดตลาดและกระจายการใช้งานในระบบนิเวศดิจิทัล
ตารางสรุปเหรียญ Big Cap
|
เหรียญ |
อันดับ |
Price |
Market Cap |
Category |
|
Bitcoin (BTC) |
1 |
$86,595 |
$1,736.19B |
Store of value |
|
Ethereum (ETH) |
2 |
$2,800 |
$338.37B |
Smart Contract, Layer1 |
|
Ripple (XRP) |
4 |
$2.01 |
$138.92B |
Cross-Border Transaction |
|
Binance Coin (BNB) |
5 |
$821.13 |
$122.10B |
Exchange Ecosystem |
|
Solana (SOL) |
7 |
$126.24 |
$71.23B |
Layer1 |
|
Cardano (ADA) |
12 |
$0.3867 |
$14.26B |
Smart Contract, Layer1 |
|
Bitcoin Cash (BCH) |
16 |
$523.25 |
$10.61B |
Payment Network |
|
Chainlink (LINK) |
21 |
$12 |
$8.41B |
Oracle Network |
|
Stellar (XLM) |
24 |
$0.2312 |
$7.54B |
Cross-Boarder Tranaction |
|
Avalanche (AVAX) |
31 |
$12.84 |
$5.54B |
Layer1 |
Source : InnovestX Investment Products & Strategy, CoinGecko, TradingView as of 2 December 2025
ภาพรวมเหรียญ Big Cap และบทบาทของแต่ละเหรียญ
Market Dominance หมายถึง สัดส่วนมูลค่าตลาด ของคริปโทเคอร์เรนซีแต่ละเหรียญเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมของสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด เป็นตัวชี้วัดความสำคัญเชิงโครงสร้างของแต่ละสินทรัพย์ต่อภาพรวมตลาด

Source : InnovestX Investment Products & Strategy, Tokenterminal as of 2 December 2025
เหรียญกลุ่ม Big Cap มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดย Bitcoin และ Ethereum ครองสัดส่วนสูงสุด ขณะที่เหรียญหลักอื่น ๆ ช่วยขยายการใช้งานในด้านต่าง ๆ
1. Bitcoin (BTC)
Bitcoin (BTC) คือคริปโทเคอร์เรนซีสกุลแรกที่ทำงานบนบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์ ใช้ระบบ Proof-of-Work เพื่อความปลอดภัยและความโปร่งใส มีจำนวนจำกัด 21 ล้านเหรียญ จึงถูกมองเป็น “ทองคำดิจิทัล” ปัจจุบันยังเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 ด้วยมูลค่าตลาดราว $1,728.15B (อ้างอิง ข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2025)
2. Ethereum (ETH)
Ethereum (ETH) คือแพลตฟอร์มบล็อกเชนชั้นนำที่รองรับ Smart Contracts และ DeFi/DApps โดยใช้กลไก Proof-of-Stake เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โทเคน ETH ใช้จ่าย Gas และ staking ขับเคลื่อนมาตรฐานโทเคนสำคัญ เช่น ERC-20 และ ERC-721 ทำให้ Ethereum เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมบล็อกเชน
3. BNB (BNB)
โทเคนประจำ BNB Chain และระบบนิเวศของ Binance ใช้สำหรับชำระค่าธรรมเนียมเทรด รับส่วนลดค่าธรรมเนียม และเป็น Gas Token บน BNB Chain รวมถึงมีบทบาทในการ Staking และบริการภายในเครือ Binance
4. Solana (SOL)
บล็อกเชน Layer-1 ที่โดดเด่นด้านความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ รองรับการทำธุรกรรมระดับสูง เหมาะสำหรับแอปพลิเคชัน DeFi, NFT และ Memecoin ที่ต้องการประสิทธิภาพมากเป็นพิเศษ
5. Ripple (XRP)
โทเค็นเพื่อการชำระเงินข้ามพรมแดน ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินข้ามประเทศที่มีความรวดเร็วและต้นทุนต่ำ และการจัดหาสภาพคล่อง
6. Cardano (ADA)
บล็อกเชน Layer-1 ที่พัฒนาภายใต้แนวทางวิจัยเชิงวิชาการ (Research-driven) แบบ Peer-Reviewed ใช้ Proof-of-Stake (Ouroboros) มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย ความยั่งยืน และการขยายขนาดระบบในระยะยาว
7. Bitcoin Cash (BCH)
สกุลเงินดิจิทัลเพื่อการชำระเงินแบบ Peer-to-Peer เป็นการ Hard Fork จาก Bitcoin ในปี 2017 ที่เพิ่มขนาดบล็อกให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้สามารถทำหน้าที่เป็นเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความเร็วสูงและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมที่ต่ำ
8. Chainlink (LINK)
เครือข่าย Oracle แบบกระจายศูนย์ชั้นนำ มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยง Smart Contracts เข้ากับข้อมูลในโลกจริง (เช่น ข้อมูลราคา, API) อย่างปลอดภัยและเชื่อถือได้บนบล็อกเชนที่หลากหลาย
9. Stellar (XLM)
บล็อกเชนสำหรับชำระเงินและการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็น มุ่งเน้นการชำระเงินข้ามพรมแดนที่รวดเร็วและต้นทุนต่ำ พร้อมให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) และความสามารถในการทำงานร่วมกัน (Interoperability)
10. Avalanche (AVAX)
แพลตฟอร์ม Layer-1 ประสิทธิภาพสูง มี Finality ระดับเสี้ยววินาทีและรองรับธุรกรรมจำนวนมาก พร้อมสถาปัตยกรรม Subnets ที่เหมาะกับการสร้างเครือข่ายเฉพาะงาน เช่น DeFi, เกม และการใช้งานระดับสถาบัน
ประเด็นความเสี่ยงที่ควรพิจารณาสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่
เหรียญขนาดใหญ่แม้จะมีความเสถียรและสภาพคล่องสูง แต่ยังมีความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่นักลงทุนควรพิจารณา ดังนี้:
1. ศักยภาพการเติบโตจำกัด (Lower Growth Potential)
แม้มีความมั่นคงสูงกว่า แต่เหรียญขนาดใหญ่มีฐานมูลค่าตลาดสูงอยู่แล้ว ทำให้โอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดดต่ำกว่าเหรียญขนาดกลางและเล็กที่มีอัตราเร่งของราคา (Price Acceleration) สูงกว่า ส่งผลให้ผลตอบแทนเชิงสัดส่วนอาจน้อยกว่า
2. ความกระจุกตัวของตลาด (Market Concentration Risk)
การกระจุกตัวของมูลค่าตลาดใน BTC และ ETH สูงมาก ทำให้พอร์ตที่เน้นลงทุนเฉพาะกลุ่มนี้มีการกระจายความเสี่ยงต่ำ (Low Diversification) และขึ้นอยู่กับความผันผวนของสินทรัพย์หลักเพียงไม่กี่ตัว
3. ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ (Regulatory Risk)
แม้เป็นเหรียญรายใหญ่ แต่ยังเผชิญความไม่แน่นอนด้านกฎหมาย เช่น การจัดประเภทของสินทรัพย์ดิจิทัล การกำกับดูแลผู้ให้บริการ หรือคดีความกับหน่วยงานกำกับ (เช่น การดำเนินการของ SEC ต่อโทเคนบางประเภท) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาและการเข้าถึงของนักลงทุน
4. ความสัมพันธ์เชิงสหสัมพันธ์สูงกับ Bitcoin (High Correlation Risk)
ราคาเหรียญใหญ่ส่วนใหญ่ยังคงเคลื่อนไหวตามทิศทาง Bitcoin ทำให้ประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลดลง โดยเฉพาะในช่วงตลาดปรับฐานที่สินทรัพย์มีแนวโน้มปรับลงพร้อมกัน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้