PDF Available  
Company History

TRIPCOM23 DR23 จาก InnovestX กับโอกาสลงทุน Trip.com Group (9961.HK): จากสตาร์ตอัพจีนสู่แพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI

17 Nov 25 10:42 AM
สรุปสาระสำคัญ

Trip.com Group (TRIPCOM23) เป็นตัวอย่างของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผงาดขึ้นจากสตาร์ตอัพตัวเล็กๆ ในเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 1999 สู่การเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของตลาด Online Travel Agency (OTA) ที่มีผู้ใช้งานหลายร้อยล้านคนทั่วโลกในปัจจุบันส่งผลให้แพลตฟอร์มของบริษัทได้ทำการเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวกับโรงแรมกว่า 1.5 ล้านแห่ง และสายการบินกว่า 640 สายทั่วโลก จุดเปลี่ยนสำคัญเริ่มต้นจากการควบรวมกับ Qunar ในปี 2015 (ในช่วงเวลานั้นบริษัท Trip.com Group ยังคงใช้ชื่อว่า Ctrip.com) โดย Qunar ในขณะนั้นเป็นหนึ่งในแอปสำหรับจองการเดินทางที่ใหญ่ที่สุดในจีน และมีการซื้อกิจการ Skyscanner ในปี 2016 ซึ่งช่วยยกระดับเทคโนโลยีค้นหาเที่ยวบินให้เทียบชั้นระดับโลก โดย Ctrip.com ได้รีแบรนด์เป็น Trip.com Group Limited ในปี 2019 เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์องค์กรระดับสากล ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ และยังคงยึดมั่นในพันธกิจ Pursue the Perfect Trip for a Better World ที่มุ่งสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ครบวงจร ยั่งยืน และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

สิ่งที่ทำให้ Trip.com โดดเด่นเหนือคู่แข่ง ไม่ได้มีแค่ขนาดของเครือข่าย แต่คือเทคโนโลยีอัจฉริยะและประสบการณ์ผู้ใช้ที่เหนือระดับ ตั้งแต่ระบบแนะนำการเดินทางด้วย AI TripGenie, ฟีเจอร์ Smart Trip Plan ที่ช่วยจัดเส้นทางอัตโนมัติตามงบและเวลา ไปจนถึงระบบสะสมแต้ม Trip Coins ที่เพิ่มความผูกพันกับผู้ใช้ทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทใช้กลยุทธ์แบบ mobile-first ที่กว่า 90% ของธุรกรรมทั้งหมดเกิดผ่านมือถือ พร้อมศูนย์บริการลูกค้า 24 ชั่วโมงในกว่า 28 ประเทศ ทำให้ Trip.com กลายเป็นแอป OTA ที่คนเอเชียไว้วางใจมากที่สุด และเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ได้แค่ขายทริปแต่ ออกแบบการเดินทางที่ดีที่สุดให้กับทุกคน

 

ประวัติและความเป็นมาของ Trip.com Group Limited

Trip.com Group เริ่มต้นธุรกิจในเดือนมิถุนายน ปี 1999 ในประเทศจีน ภายใต้ชื่อ Ctrip.com โดยมุ่งเน้นให้บริการจองการเดินทางแบบครบวงจร เช่น โรงแรม ตั๋วเครื่องบิน และแพ็กเกจท่องเที่ยว ต่อมาในเดือนมีนาคม 2000 บริษัทได้จัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งในหมู่เกาะเคย์แมนในชื่อ Ctrip.com International, Ltd. เพื่อรองรับการขยายธุรกิจและการระดมทุนระดับโลก บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด NASDAQ ในปี 2003 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ และได้ขยายการดำเนินงานนอกประเทศจีนตั้งแต่ปี 2009

 

ในช่วงทศวรรษต่อมา Trip.com Group เติบโตผ่านการควบรวมและซื้อกิจการ โดยได้เริ่มรวมกิจการกับ Qunar ในเดือนธันวาคม 2015 และเข้าซื้อ Skyscanner ในเดือนธันวาคม 2016 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีค้นหาเที่ยวบินและฐานลูกค้าทั่วโลก จากนั้นในเดือนตุลาคม 2019 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น Trip.com Group Limited เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรที่มีเครือข่ายระดับโลก ปัจจุบันบริษัทมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง

 

กล่าวได้ว่า Trip.com Group ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากแพลตฟอร์มท่องเที่ยวในประเทศจีน สู่การเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเครือข่ายพันธมิตรกว่า 1.5 ล้านที่พักและสายการบินกว่า 640 สายทั่วโลก โดยยังคงยึดมั่นในพันธกิจ Pursue the Perfect Trip for a Better World เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวก ครบวงจร และยั่งยืนให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

 

โครงสร้างรายได้และแหล่งรายได้หลัก

  1. รายได้จากการจองที่พัก — 40% ของรายได้รวม

รายได้จากธุรกิจจองที่พัก (Accommodation Reservation) คิดเป็นสัดส่วน 40% ของรายได้รวมในปี 2024 หรือประมาณ RMB 21.6 พันล้าน เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า แหล่งรายได้หลักมาจากค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับจากพันธมิตรโรงแรมทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มของบริษัท โดยบริษัทจะรับรู้รายได้เมื่อการจองกลายเป็น non-cancelable หรือไม่สามารถยกเลิกได้ ซึ่งถือเป็นจุดที่ภาระหน้าที่การให้บริการเสร็จสมบูรณ์ ธุรกิจนี้ถือเป็นกลุ่มที่มี take rate สูงที่สุดในพอร์ต เนื่องจากอัตราค่าคอมมิชชั่นจากการจองโรงแรมโดยทั่วไปสูงกว่าเซ็กเมนต์อื่นๆ

 

  1. รายได้จากการจำหน่ายตั๋วเดินทาง — 38% ของรายได้รวม

รายได้จากธุรกิจจำหน่ายตั๋วเดินทาง (Transportation Ticketing) คิดเป็น 38% ของรายได้รวม แพลตฟอร์มของ Trip.com ให้บริการผ่านเครือข่ายพันธมิตรทั้งสายการบิน รถไฟ และระบบขนส่งทั่วโลก โดยรับรู้รายได้เมื่อมีการออกตั๋วจริง ธุรกิจนี้มีอัตรากำไร (take rate) ต่ำกว่าการจองที่พัก แต่มีปริมาณธุรกรรมสูงและเป็นแหล่งรายได้หลักที่สร้างความมั่นคงในเชิงปริมาณของบริษัท

 

  1. รายได้จากแพ็กเกจทัวร์ — 8% ของรายได้รวม

ในธุรกิจแพ็กเกจทัวร์ (Packaged Tours) รายได้ส่วนใหญ่เกิดจากค่าธรรมเนียมแนะนำ (referral fees) ที่บริษัทได้รับจากพันธมิตรในระบบนิเวศ (ecosystem partners) โดยจะรับรู้รายได้เมื่อถึงวันเดินทางจริงของทัวร์ ซึ่งเป็นช่วงที่ภาระหน้าที่ให้บริการสำเร็จ การเติบโตของส่วนนี้สะท้อนถึงความต้องการเดินทางแบบกลุ่มและบริการครบวงจรที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังการเปิดประเทศของหลายภูมิภาค

 

  1. รายได้จากการเดินทางองค์กร — 5% ของรายได้รวม

รายได้จากบริการเดินทางสำหรับองค์กร (Corporate Travel) คิดเป็น 5% ของรายได้รวม เกิดจากค่าธรรมเนียมและคอมมิชชั่นจากการให้บริการจองโรงแรม ตั๋วเดินทาง และแพ็กเกจสำหรับลูกค้าธุรกิจ บริษัททำสัญญาให้บริการในรูปแบบ Service Fee Model ซึ่งรายได้จะรับรู้หลังจากการให้บริการเสร็จสิ้น ธุรกิจนี้มีการเติบโตต่อเนื่องตามแนวโน้มองค์กรทั่วโลกที่กลับมาเดินทางเพื่อธุรกิจและงานประชุมมากขึ้น

 

  1. รายได้อื่นๆ — 9% ของรายได้รวม

รายได้ในหมวด “อื่น ๆ” (Others) คิดเป็น 9% ของรายได้รวม มาจากบริการเสริมต่างๆ ภายในระบบนิเวศของ Trip.com เช่น บริการเทคโนโลยี สนับสนุนพันธมิตรท่องเที่ยว และโซลูชันด้านข้อมูล (data solutions) ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจหลักและสร้างรายได้ประจำในระยะยาว

 

Screenshot-2025-11-17-104607.png

 

กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและจุดแข็ง

  1. แพลตฟอร์มท่องเที่ยวแบบครบวงจร (One-Stop Travel Platform)

Trip.com Group มุ่งสร้างระบบนิเวศการท่องเที่ยวครบวงจร เชื่อมโยงผู้ใช้กับพันธมิตรทางธุรกิจทั่วโลกภายใต้แพลตฟอร์มเดียว โดยรวมบริการหลากหลายตั้งแต่การจองที่พัก ตั๋วเดินทาง แพ็กเกจทัวร์ ไปจนถึงกิจกรรมในจุดหมายปลายทาง ผ่านข้อมูลและเนื้อหาการเดินทางที่แตกต่าง (differentiated travel content) การผสานข้อมูลจากผู้ใช้งานจริงและพันธมิตรทำให้ผู้เดินทางสามารถค้นหา เปรียบเทียบ และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Trip.com กลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางสำหรับทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการ พร้อมขยายฐานพันธมิตรกว่า 65,000 รายทั่วโลก

 

  1. ช่องทางแบบหลายมิติ (Omni-Channel Touchpoints)

Trip.com ใช้กลยุทธ์แบบหลายช่องทาง (Omni-Channel) เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงบริการได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากที่สุด โดยกว่า 90% ของธุรกรรมทั้งหมดในปี 2024 เกิดจากช่องทางมือถือ แสดงถึงความสำเร็จของแอป Trip.com ที่ติดอันดับแอป OTA ที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไทย และฮ่องกง ขณะเดียวกันบริษัทยังมีเว็บไซต์ท้องถิ่นกว่า 40 แห่ง และศูนย์บริการลูกค้าทั่วโลก 9 แห่ง เพื่อให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง กลยุทธ์นี้สะท้อนถึงจุดแข็งในการมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและสะดวกสบายให้ผู้เดินทางทุกกลุ่มทั่วโลก

 

  1. แพลตฟอร์มเปิดสำหรับพันธมิตร (Open Platform for Ecosystem Partners)

Trip.com เปิดโอกาสให้พันธมิตรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สายการบิน บริษัทรถเช่า หรือผู้ให้บริการทัวร์ เข้ามานำเสนอสินค้าและบริการโดยตรงบนแพลตฟอร์ม (Open Platform Model) การเปิดระบบนี้ช่วยขยายตัวเลือกและเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ใช้ทั่วโลก โดยปัจจุบันมีที่พักกว่า 1.5 ล้านแห่ง และเที่ยวบินจากกว่า 640 สายการบิน บนระบบของบริษัท กลยุทธ์นี้ช่วยสร้างความยืดหยุ่นและความร่วมมือในเชิงลึกกับพันธมิตร พร้อมขยายข้อเสนอใหม่อย่างต่อเนื่องในทุกตลาด

 

  1. เทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วย AI (AI-Driven Technology Platform)

Trip.com ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางจำนวนมหาศาล บริษัทใช้เทคโนโลยีด้าน NLP, speech recognition, computer vision และ conversational AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ TripGenie ที่ช่วยแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ และระบบ TripBest ที่จัดอันดับปลายทางจากรีวิวและยอดขายจริง นอกจากนี้ยังใช้คลาวด์ผสม (hybrid cloud) เพื่อเพิ่มความเสถียรและลดต้นทุนการประมวลผล จุดแข็งด้านเทคโนโลยีนี้ทำให้ Trip.com มีความสามารถในการให้บริการอย่างแม่นยำและรวดเร็วทั่วโลก

 

  1. การบริการลูกค้าระดับโลก (Global Customer Service Excellence)

Trip.com ยึดหลัก ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยระบบสนับสนุนผู้ใช้ 24 ชั่วโมงทั่วโลก ครอบคลุมกว่า 28 ประเทศ มีศูนย์บริการในเมืองสำคัญ เช่น เซี่ยงไฮ้ กรุงเทพฯ โตเกียว และเอดินบะระ พร้อมระบบ SOS ท่องเที่ยวระดับโลกที่ให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน เช่น ภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุ จุดแข็งด้านบริการนี้ได้รับการยอมรับระดับสากล ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านการบริการและความเชื่อมั่นของลูกค้าทั่วโลก

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก

เทียบกับ Booking Holdings: BKNG คือผู้นำ OTA ระดับโลกที่ถือครองแบรนด์หลักอย่าง Booking.com, Priceline, Agoda, KAYAK, OpenTable และ Rentalcars.com ให้บริการผู้ใช้และพาร์ตเนอร์กว่า 220 ประเทศ พร้อมกลยุทธ์ Connected Trip และโครงสร้างชำระเงินในเครือ เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางปลายทางเดียวแบบไร้รอยต่อบนเครือข่ายซัพพลายขนาดใหญ่ (ที่พัก, รถเช่า, ร้านอาหาร และเมตาเสิร์ช) ในฐานะเจ้าตลาดบริษัทหนุนพลังต่อรองฝั่งดีมานด์และซัพพลายในโลกตะวันตกอย่างชัดเจน และสื่อสารต่อเนื่องผ่านเอกสารนักลงทุนถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีและการขยายผลิตภัณฑ์เพื่อตอกย้ำความเป็นแพลตฟอร์มสากลครบวงจร

 

จุดได้เปรียบของ Trip.com อยู่ที่ความแข็งแกร่งเชิงภูมิภาคในเอเชีย และความสามารถ mobile-first ที่ลึกเป็นพิเศษ ในปี 2024 มากกว่า 90% ของคำสั่งซื้อทั้งหมดเกิดผ่านช่องทางมือถือ และแอป Trip.com ติดกลุ่ม แอป OTA ที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุด ใน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไทย และฮ่องกง นอกจากนี้ โมเดล Open Platform เปิดรับพาร์ตเนอร์ให้ลงสินค้าตรงบนระบบ ทำให้มี ที่พัก ~1.5 ล้านรายการ เที่ยวบินจาก 640+ สายการบิน และเครือข่าย พาร์ตเนอร์ 65,000+ ราย ทั่วโลก ผสานกับคอลเซ็นเตอร์และศูนย์บริการ 24/7 ในเมืองหลักของเอเชีย ช่วยส่งมอบประสบการณ์ที่ local กว่าคู่แข่งระดับโลกในหลายตลาดเอเชีย และกลายเป็น go-to platform สำหรับนักท่องเที่ยวเอเชียและผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าถึงดีมานด์ฝั่งเอเชียโดยตรง

 

เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย

เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย ไม่มีบริษัทใดที่มีการทำธุรกิจ OTA โดยตรง แต่หากเปรียบเทียบกับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเหมือนกัน เราสามารถเปรียบเทียบกับ ERW (The Erawan Group) : ในตลาดไทย แม้ ERW ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรม Hop Inn, Grand Hyatt Erawan, และ Novotel จะไม่ใช่แพลตฟอร์ม OTA โดยตรงเหมือน Trip.com Group แต่ทั้งสองต่างมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศการท่องเที่ยวของประเทศ และต่างก็ใช้เทคโนโลยีเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจ ERW เน้นกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์และขยายเครือข่ายโรงแรมในระดับต่างๆ โดยเฉพาะแบรนด์ราคาประหยัด Hop Inn ที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในไทยและฟิลิปปินส์ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวระดับกลาง–ล่างและตลาดในประเทศ ในขณะที่ Trip.com Group ทำหน้าที่เป็น ตัวกลางเชื่อมโยง ระหว่างผู้ให้บริการที่พักอย่าง ERW กับนักเดินทางทั่วโลก ผ่านระบบจองโรงแรมออนไลน์ที่ครอบคลุมกว่า 1.5 ล้านแห่ง และสามารถกระจายดีมานด์จากตลาดต่างประเทศเข้าสู่โรงแรมในไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ความได้เปรียบของ Trip.com Group คือ สเกลระดับโลกและเทคโนโลยีและข้อมูลผู้ใช้ที่ช่วยให้บริษัทเข้าใจพฤติกรรมของนักเดินทางและออกแบบข้อเสนอเฉพาะบุคคลได้ดีกว่า OTA ทั่วไป อีกทั้งยังมีฐานผู้ใช้จำนวนมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในไทย ซึ่งแอป Trip.com ติดอันดับดาวน์โหลดสูงสุดในกลุ่ม OTA ของภูมิภาค นอกจากนี้ บริษัทมีความร่วมมือกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และโรงแรมในประเทศหลายแห่งเพื่อผลักดันนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ Trip.com กลายเป็นประตูสู่ตลาดต่างชาติของโรงแรมไทย รวมถึงกลุ่ม ERW เอง ซึ่งยังต้องอาศัยช่องทาง OTA เพื่อดึงลูกค้าต่างชาติ ขณะที่ ERW ได้เปรียบในด้านการครอบครองสินทรัพย์จริงและการควบคุมประสบการณ์ลูกค้าในระดับหน้างาน แต่ในเชิงขยายตลาดและการเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก Trip.com มีความยืดหยุ่นและศักยภาพทางดิจิทัลมากกว่าอย่างชัดเจน

 

อนาคตและโอกาสการเติบโต

Trip.com Group มองเห็นโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกจากหลายปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะการขยายตัวของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ความต้องการเดินทางที่หลากหลายขึ้น และความนิยมในประสบการณ์การท่องเที่ยวคุณภาพสูง บริษัทเชื่อว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในตลาดหลัก เช่น จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรป จะกระตุ้นความถี่และการใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกระแสเทคโนโลยีใหม่ๆ ยังช่วยยกระดับ supply chain ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างโอกาสให้ Trip.com สามารถต่อยอดธุรกิจจากฐานผู้ใช้งานและพันธมิตรทั่วโลกได้อย่างกว้างขวาง

 

ในเชิงกลยุทธ์ บริษัทจะมุ่งเน้นการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในระบบนิเวศ (ecosystem partners) ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ระดับประหยัดไปจนถึงพรีเมียม และตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล นอกจากนี้ Trip.com ยังตั้งเป้าพัฒนาเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการตลาดแบบแม่นยำ ลดต้นทุนระยะยาว และขยายโอกาสในการทำ cross-selling ระหว่างบริการต่างๆ ภายในแพลตฟอร์ม พร้อมกันนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับ การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability) ผ่านโครงการ Low Carbon Hotel Standard และการร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งแคมเปญ Travalyst เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างคุณค่าเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และชุมชนท้องถิ่นในระยะยาว

 

ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

Trip.com Group เผชิญกับความเสี่ยงหลักหลายด้านที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในอนาคต โดยเฉพาะ ความตึงเครียดทางการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงไม่แน่นอน ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มภาษีนำเข้า การจำกัดการลงทุน หรือการควบคุมด้านเทคโนโลยี บริษัทเตือนว่ามาตรการเหล่านี้อาจส่งผลต่อความสามารถในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ การเข้าถึงตลาดทุน และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม หากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์รุนแรงขึ้น อาจกระทบต่อรายได้และความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้โดยตรง

 

อีกประเด็นหนึ่งคือ ความเสี่ยงด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการพึ่งพาบุคคลที่สาม Trip.com ให้ความสำคัญกับสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และเทคโนโลยีของตนเอง แต่การปกป้องทรัพย์สินเหล่านี้ในบางประเทศอาจทำได้ยาก เนื่องจากระบบกฎหมายที่ซับซ้อนและแตกต่างกัน การละเมิดหรือการคัดลอกเทคโนโลยีอาจสร้างผลกระทบทางการเงินและชื่อเสียงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน บริษัทต้องพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอก เช่น ระบบโฮสต์ เว็บไซต์ และพันธมิตรจำหน่ายตั๋ว หากผู้ให้บริการเหล่านี้เกิดปัญหาหรือไม่สามารถให้บริการได้ตามมาตรฐาน อาจกระทบต่อคุณภาพการบริการและประสบการณ์ลูกค้าได้โดยตรง

 

นอกจากนี้ การดำเนินธุรกิจหลักในประเทศจีนยังเผชิญกับ ความไม่แน่นอนทางกฎระเบียบของรัฐบาลจีน (PRC Regulatory Risks) โดยเฉพาะข้อกำหนดเกี่ยวกับการกำกับดูแลข้อมูล การลงทุนจากต่างประเทศ และการใช้โครงสร้าง VIE (Variable Interest Entity) ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนทางกฎหมาย บริษัทระบุว่าหากนโยบายหรือกฎหมายของรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน อาจส่งผลให้ต้องปรับโครงสร้างธุรกิจ หรือจำกัดความสามารถในการระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศได้

 

 

 

สนใจลงทุนในหุ้น Trip.com Group (TRIPCOM23, 9961.HK) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน

 

คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

Stocks Mentioned
TCOM.NB
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5