
บทความนี้เจาะลึกกลไกทางจิตวิทยาที่เหนี่ยวรั้งไม่ให้เทรดเดอร์ตัดขาดทุน (Cut Loss) ผ่านทฤษฎี Prospect Theory และ Loss Aversion ซึ่งอธิบายว่าทำไมสมองจึงมักเลือกเสี่ยงมากขึ้นเมื่อขาดทุนเพื่อปกป้องอีโก้และความเจ็บปวดจาก "ต้นทุนจม" พร้อมเผยแพร่บทเรียนจากสถานการณ์จริงของการถัวเฉลี่ยขาลงที่เป็นอันตราย เพื่อให้คุณสร้างวินัยใหม่ในการมองข้อมูลปัจจุบันเป็นความจริง และใช้การคัทลอสเป็นเสมือน "ประกันชีวิต" ที่จะรักษาเงินทุนส่วนใหญ่ไว้เพื่อโอกาสในการทำกำไรที่ยั่งยืนในอนาคต
"ต้นทุนที่จมไปแล้วคืออดีต แต่การรักษาเงินทุนที่เหลืออยู่คืออนาคต"
"รออีกนิดหน่ะ เดี๋ยวก็กลับมา" คำโกหกที่แพงที่สุดในโลกการลงทุน
คุณเคยไหม? ซื้อหุ้น หรือ เปิดสัญญา Futures ไว้แล้วผิดทาง ขาดทุนไป 10,000 บาท ใจหนึ่งรู้ว่าต้องคัท แต่อีกใจกลับบอกว่า "เสียดายเงินหมื่นนั้นจัง ถ้าขายตอนนี้เงินนั้นจะหายไปจริงๆ นะ ถือต่ออีกหน่อยเถอะ เผื่อมันเด้งกลับมาเท่าทุนแล้วค่อยขาย"
สุดท้ายจากหนึ่งหมื่น กลายเป็นห้าหมื่น และจบลงที่การขาดทุนหนักเกินกว่าที่วางแผนไว้จำนวนมาก
ทำไมมนุษย์ที่มีเหตุผลอย่างเรา ถึงกลายเป็นคนไร้เหตุผลทันทีเมื่อเห็น "ตัวเลขสีแดง"? วันนี้เราจะมาแหวะสมองดูสิ่งที่เรียกว่า Sunk Cost Fallacy หรือ "กับดักต้นทุนจม" กันครับ
เข้าใจกลไก "ความเสียดาย"
Sunk Cost Fallacy (ความหลงผิดในต้นทุนจม) คืออะไร?
ในทางเศรษฐศาสตร์และจิตวิทยา มันคือปรากฏการณ์ที่มนุษย์ตัดสินใจดำเนินกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งต่อไป เพียงเพราะเราได้ลงทุนไปกับมันแล้ว (ไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา หรือแรงกาย) โดยมองข้ามความจริงที่ว่าสิ่งที่ลงไปนั้นไม่สามารถเรียกคืนได้ และไม่ได้พิจารณาว่าทางเลือกในปัจจุบันจะให้ผลลัพธ์ที่แย่ลงในอนาคตหรือไม่
ทำไมสมองเราถึงไม่ยอมให้ขายเพื่อตัดขาดทุน (Cut Loss) ?
จะเลิกตกหลุมพรางนี้ได้อย่างไร?
วิธีแก้ที่ได้ผลที่สุดคือการเปลี่ยนคำถามจาก "ฉันเสียไปเท่าไหร่แล้ว?" เป็น "ถ้าวันนี้พอร์ตว่างเปล่าและฉันไม่มีสถานะนี้อยู่เลย ฉันยังอยากจะเปิดมันที่ราคานี้หรือไม่?" ถ้าคำตอบคือ "ไม่" นั่นคือสัญญาณชัดเจนว่าคุณควรต้องปิดสถานะ หรือขายตัดขาดทุนทันที
กราฟหัวใจเทรดเดอร์ vs กราฟราคา

คำอธิบายเชิงทฤษฎี: ตามหลัก Prospect Theory มนุษย์จะมีพฤติกรรม "กล้าเสี่ยงมากขึ้น" (Risk-Seeking) เมื่ออยู่ในแดนขาดทุน เพื่อพยายามพาตัวเองกลับไปที่จุดคุ้มทุน (Break-even point) ความหวังที่สวนทางกับราคาเกิดขึ้นเพราะสมองเราให้ค่าน้ำหนักกับ "โอกาสเพียงน้อยนิดที่จะได้เงินคืน" มากกว่า "ความจริงที่ปรากฏตรงหน้า" ยิ่งราคาดิ่งลงลึกเท่าไหร่ สมองจะยิ่งสร้างภาพการดีดกลับที่รุนแรงเพื่อปลอบประโลมความเจ็บปวดจากการขาดทุนที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่การละทิ้งวินัยในที่สุด
บทเรียนราคาแพงจาก "หุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยน"
ลองจินตนาการถึงหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นพลังงานตัวหนึ่งที่เคยเป็นขวัญใจตลาด ราคาเคยอยู่ที่ 100 บาท วันหนึ่งมีข่าวลบและราคาเริ่มร่วงลงมาเหลือ 80 บาท เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่กล้าคัทลอสเพราะเสียดายส่วนต่าง 20 บาท และคิดว่า "เดี๋ยวก็กลับไปที่ 100 บาท"
กลไกของ Sunk Cost ในเคสนี้:
หากเป็นกรณีการเทรด Options: เทรดเดอร์ B ซื้อ Long Call Options ไว้ มูลค่าเวลา (Time Decay) ลดลงทุกวันจนเหลือ 10% ของราคาที่ซื้อมา แทนที่จะคัทเพื่อเหลือเงิน 10% ไว้เป็นทุนสู้ต่อในรอบหน้า เขากลับปล่อยให้มันหมดอายุกลายเป็นศูนย์ (Zero) เพียงเพราะทำใจยอมรับเงินก้อนใหญ่ที่เสียไปก่อนหน้านี้ไม่ได้ นี่คือการปล่อยให้ "เงินที่เสียไปแล้ว" มาทำลาย "เงินที่ยังเหลืออยู่"(ยกเว้นกรณีที่เงินลงทุน Options ก้อนนี้จะถูกกำหนดให้ถือจะหมดอายุเพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตตามแผนอยู่แล้ว)
หลุมพรางของการ "ถัวเฉลี่ยขาลง"
หลุมพรางที่น่ากลัวที่สุดของ Sunk Cost Fallacy คือการ "Double Down" หรือการลงเงินเพิ่มเป็นเท่าตัวในสถานะที่กำลังขาดทุน เพื่อหวังให้ต้นทุนเฉลี่ยต่ำลง (Average Down) ในขณะที่ทิศทางของตลาดหรือปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งการถัวเฉลี่ยขาลงนี้เป็นการทำโดยไม่ได้อยู่ในแผนการเทรด (Trading Plan) ตั้งแต่แรก
ทำไมการ Double Down ถึงเป็นอันตราย?
ฝึกจิตวิทยาการยอมแพ้
การคัทลอสไม่ใช่การแพ้ แต่คือการ "ซื้อประกันให้กับเงินทุนที่เหลืออยู่"
การบ้านสำหรับสัปดาห์นี้:
🚀ลงทุน TFEX เข้าถึงโอกาสทำกำไรในตลาดอนุพันธ์ได้อย่างง่ายดายแค่ปลายนิ้ว
เพียงแค่เปิดบัญชีกับ InnovestX และ Activate บัญชี TFEX
⚠️ คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนการซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่น มีความเสี่ยงสูงที่อาจก่อนให้เกิดผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจังไม่เหมาะสมกับบุคคลทุกคน ก่อนตัดสินใจซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่น ท่านควรพิจารณาถึงฐานะทางการเงินวัตถุประสงค์การลงทุน ตลอดจนความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้อย่างรอบคอบเนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ท่านอาจสุญเสียเงินลงทุนมากกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก